Menu

เขาว่าคนมาทะเล
ไม่หนีร้อน.. ก็หนีรัก…

เชื่อว่าผู้คนเกือบๆ ทุกคน
คงเคยอกหัก
แต่วิธีการแก้ปัญหาความเศร้าในแต่ละคนคง แตกต่างกันไป

บางคนใช้น้ำเมา..เพื่อลืม
บางคนทำงาน.. เพื่อลืม
และบางคนออกเดินทางเพื่อให้ลืม
ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

แล้วเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆหล่ะครับ ใช้วิธีไหนกัน
SMS มาเล่าสู่กันฟังกับพี่ฉอดได้

เอาหล่ะ ไม่เวิ่นเว้อยืดยาว ออกเดินทางกันเถอะ
ถ้าไม่ออกเดินทางตอนนี้ผมจะร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วนะ ร้องไห้ร้องไห้

ป.ล. เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวสมมติ ( ของคนบ้าคนนึง ) แต่เดินทางจริง พยายามเลียนแบบอารมณ์อกหักจริงๆ สมัยหนุ่มสาวที่เป็นแบบนี้จริงๆ

 

ย้อนกลับไปสาเหตุแห่งการอกหักและการต่อสู้ ด้วยศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ( ที่กินไม่ได้ )
ในกระทู้

[Review] SUZUKI GSX-R 150 และ ผู้ ห ญิ ง ข้ า . . ใ ค ร อ ย่ า แ ต ะ

https://pantip.com/topic/37086514

และแน่นอน ท่านผู้อ่านคงจะเดาถูกว่าผลลัพธ์นั้นออกมาเช่นไร
ด้วยสัจจะ วาจา สัญญา ลูกผู้ชาย จำใจต้องเป็นฝ่ายที่เดินจากมา
น้ำตาที่ร่วงรินนั้นขอรับไว้เอง

 

 

สำหรับม้าศึกคู่ใจที่รักนักรักหนา “เจ้าเหยี่ยวดำ”  Suzuki GSX-R150 ของผม
มันเหมือนเป็นพยานรักระหว่างผมกับเธอ
เราไปไหนต่อไหนด้วยกันบนอานเจ้าเหยี่ยวดำคันนี้

แต่ในวันที่ไม่มีเธอ..

ทุกครั้งที่เห็นเจ้าเหยี่ยวดำ ผมก็อดคิดถึงเธอไม่ได้
คิดถึงทีไร น้ำตาก็ไหลริน
ผมจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องบอกคำลากับเจ้าเหยี่ยวดำ

 

 

แต่ด้วยความรักและผูกพันธ์กับค่าย Suzuki
และความหลงไหลในรหัส GSX ที่มีสมรรถนะที่เชื่อขนมกินได้

สุดท้ายผมก็ไม่สามารถทิ้งตัวตนและจิตวิญญาณคนบ้าออกไปได้
ในที่สุดก็กลับมาตายรังกับ

Suzuki GSX-S150

และผมขอเรียกมันว่า  “เจ้าม้าดำ”

 

 

หลังจากไม่มีเธอ ผมใช้ชีวิตคนเดียวกับเจ้าม้าดำ
ทุกอย่างในโลกดูเป็นสีเทา

 

 

สิ่งเดียวที่ดูจะดีขึ้นในชีวิตของผมคือ เจ้าม้าดำ

กับชีวิตที่แสนวุ่นวายในเมืองหลวงที่รถราแสนจะแน่นขนัด
เจ้าม้าดำสร้างความสะดวกสบาย คล่องแคล่ว และลื่นไหลในการจราจรมากกว่าเจ้าเหยี่ยวดำอย่างชัดเจน
ก็แน่หล่ะ

นี่คือที่ของมัน!!!

 

 

แม้ว่าเจ้า GSX-S150 จะเหมาะกับเมืองหลวงแค่ไหน
แม้ว่าถิ่นพำนักพักพิงและการงานผมจะอยู่ที่เมืองหลวงนี้
แต่ในยามนี้ หันไปรอบกาย มีผู้คนมากมาย แต่เหมือนไม่มีใคร
ผมจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี

ใครมีทางออก ช่วยบอกที!!!!

 

 

ตกยามเย็นเลิกงานผมขี่รถด้วยใจเหม่อลอยแบบไร้จุดหมายซอกแซกไปตามซอกหลีบรถติด
แม้จะคล่องแคล่ว รวดเร็ว พลิกพริ้ว แต่กลับรู้สึกว่าไร้จุดหมายปลายทาง

 

 

ในค่ำคืนวันศุกร์ที่เปลี่ยวเหงา

ผมรู้สึกตัวอีกทีบนเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางกลับที่พำนัก
ในหัวผมยังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และคันเร่งที่เป็นเพื่อน

ผมหลุดจากฝูงรถที่คลาคล่ำมาเมื่อไรยังไม่รู้ตัวเอง
รู้สึกตัวอีกทีเมื่อผมขี่รถมานานพอสมควร ร่างกายเริ่มล้าจากการไม่ได้นอนพักผ่อน
ผมมาไกลแค่ไหน ที่นี่คือที่ไหนผมไม่รู้หรอก   ผมรู้แค่ว่า ผมอยากขี่รถไปเรื่อยๆ

มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ลืมเรื่องราวเก่าๆ ได้..

 

 

เมื่อแสงแดดยามเช้าเริ่มแยงตา

ผมลืมตาตื่นขึ้นภายใต้ชายคาของศาลาหลังหนึ่ง ผมมาถึงที่นี่ก็ใกล้รุ่งแล้ว ด้วยร่างกายที่อ่อนล้าเลยผล็อยหลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้

ที่นี่ที่ไหน ศาลานี้ชื่อว่าอะไร  ผมไม่รู้หรอก
รู้แต่ว่าที่นี่น่าจะเป็น ศาลาคนเศร้า  เสียดายที่ผมไม่ได้พกหนังสือ ศาลาคนเศร้ามาด้วย  ไม่งั้นจะนอนอ่านรับลมให้ถึงเย็นไปเลย

 

 

นั่งเหม่อมองทะเลที่ทอดยาวสุดปลายสายตา
ปล่อยกายและใจให้ผสานกับแดดและสายลมที่พัดแผ่วเบาไหลผ่านกายไป
แม้ทิวทัศน์ที่อยู่ด้านหน้าจะไม่ได้สวยงามอะไร แต่กลับเป็นเหมือนยาที่ช่วยสมานแผลใจเรียกความสงบได้ในระดับหนึ่ง

 

 

เอ้า เวิ่นเว้อกันมาเยอะ ( ลืมไปแล้วว่ากระทู้นี้ก็เป็นรีวิวรถด้วย 55 )

เรามาเริ่มทำความรู้จักกับเจ้าม้าดำของผมหรือ Suzuki GSX-S150 กันก่อน
เริ่มทำความรู้จักจากรูปลักษณ์ภายนอกและข้อมูลของรถกันก่อน

รูปลักษณ์

สำหรับรูปลักษณ์ภายนอก หากมองด้วยสายตาแตกต่างกับ GSX-R150 เพียงแฟริ่งหน้าและแฮนเดิ้ลบาร์เท่านั้น โดยรวมยังคงใช้ชิ้นส่วนร่วมกันอยู่พอสมควร   ถ้าพูดถึงเรื่องความสวยหรือไม่สวยคงเป็นเรื่อง ปัจเจก เพียงแต่หากถามความเห็นของคนไทยส่วนใหญ่ก็จะได้คำตอบว่า “หน้าตาแปลกๆ”  ซึ่งก็เห็นตรงกับผม  แต่บนความแปลกนี้ โดยส่วนตัวเมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยระยะหนึ่งก็กลายเป็นเริ่มมองว่าสวยซะงั้น

ว่ากันด้วยเรื่องมิติรถและน้ำหนัก จัดว่าเป็นรถที่มีขนาดเล็กและเบาะก็เตี้ยมาก ( อาจจะมากที่สุดในท้องตลาด ) สูงเพียง 78.5 ซม เท่านั้น ในเรื่องของน้ำหนักก็โดดเด่นไม่แพ้กัน น้ำหนักรวมของเหลวหนักเพียง 130 กิโลกรัมเท่านั้น

 

 

Specification โดยรวม  เดี๋ยวค่อยๆ ไล่กันไปทีละส่วนละกันนะครับ

 

 

สายๆหน่อย แดดเริ่มทอแสงแรงกล้า
ผมขี่รถออกไปที่ชายหาด หาร่มไม้เอนกายพักผ่อน

 

 

หลังจากชาร์จพลังได้พอเพียงแล้วรู้แต่ว่าต้องออกเดินทางต่อ
ตอนนี้ในหัวผมมีที่หมายลางๆ แล้วว่าผมอยากไปจังหวัด  “ตราด”  เหตุผลที่เลือกตราดเพราะอะไรน่ะหรอ
ก็เพราะตราดเป็นจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพมากที่สุดในภาคตะวันออกน่ะสิ
ออกจะไร้สาระหน่อย แต่ผมแค่แอบหวังว่า จะเอาความทุกข์ ความเศร้าไปทิ้งให้ไกลที่สุด

ก็เท่านั้น!!!

ในเมืองก็ขี่แล้ว ทางไกลก็ลองแล้ว  พอจะเหลาอะไรได้เพิ่มบ้างแล้วหล่ะ

สรีระศาสตร์/ท่า นั่ง/การขับขี่

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ตามความเห็นของผม GSX-S150 เป็นรถ Naked ที่มีท่านั่งเป็นมิตรและเป็นธรรมชาติที่สุดใน Class 150cc แล้ว แม้ว่ารถอาจจะคันเล็ก แต่ก็รองสามารถรองรับผู้ขับขี่ที่มีสัดส่วนตามมาตรฐานชายไทยทั่วๆไปได้เป็น อย่างดี ตำแหน่งแฮนด์เดิ้ลบาร์ ตำแหน่งเบาะหรือพักเท้า โดยรวมถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่ดี แต่สำหรับผมเวลาขับขี่ทางไกลอาจจะขางอไปนิดนึง ต้อง relax ด้วยการเลื่อนตำแหน่งเท้ามาด้านหน้าและแบะเท้าออกบ้าง แต่สำหรับการใช้งานในเมือง นั้นก็ไม่ติดปัญหาแต่อย่างใด

สำหรับเรื่องเบาะนั่ง ถือว่าเซ็ตตำแหน่งมาได้ดีมาก การขับขี่ในเมืองสั้นๆ รู้สึกเฟิร์มดี แต่หากขี่ทางไกลอาจจะแข็งไปบ้าง แต่เกริ่นไว้ก่อนว่ารถคันนี้สร้างมาเป็น City Sport Naked ดังนั้น ท่วงท่าต่างๆ อาจจะไม่ได้เผื่อไว้สำหรับทางไกลมากนัก

โดยสรุป ในด้านสรีระศาสตร์นี้เป็นสิ่งที่ผมประทับใจเกือบที่สุดสำหรับรถคันนี้  ถูกตัดคะแนนไปเพียงนิดเดียวคืออาจจะคันเล็กไปนิดและเบาะถ้านุ่มกว่านี้อีกนิด จะดีมากๆ  เอาคะแนนไปเลย 9 เต็ม 10 กะโหลก

 

 

ก่อนจะข้ามแม่น้ำเวฬุเข้าสู่เขตจังหวัดตราด แวะทานอาหารทะเลที่ อากู๋ซีฟู๊ด ริมแม่น้ำเวฬุเสียหน่อย
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก  มีอะไรที่ทึ่งและอยากโชว์สักหน่อยเกี่ยวกับเจ้าม้าดำคันนี้
เพราะนี่เป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้ติดใจใน GSX-S150 เลยทีเดียว  ( แบบว่าชอบอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขาอ่ะนะ )

นั่นคือ  แท่น แท๊นนนนน

ขาตั้งคู่  คันสตาร์ท  ตาแมว และ บังโคลนอภิมหาใหญ่ยาว  ชอบใจจริงๆ

หัวเราะหัวเราะ

 

 

ซูมดูกันชัดๆ ใกล้ๆ ไม่ใช่แค่ใหญ่ ยาว แต่ยังกว้างด้วยนะ ช่วยทำหน้าที่บังโคลน(สมฉายา) ได้ดีขึ้นมากกว่ารถคันอื่นเยอะเลย  เท่าที่ลองลุยฝนดูผลประกฏว่าบังโคลนนี้ช่วยได้ เยอะ ไม่มีมวลน้ำเม็ดใหญ่ตีขึ้นมาถึงเบาะด้านหลังเลย มีเพียงละอองน้ำที่ฟุ้งขึ้นมาตามปกติเพียงเท่านั้น ในหัวข้อนี้ ถ้าไม่ใช่รถ Automatic ที่ล้อเล็กหลบอยู่ใต้ตัวถังใหญ่ๆ จะสอบตกหมดเลย  GSX-S และ R เป็นเพียง 2 คันเท่านั้นที่สอบผ่านในเรื่องนี้ ( ถ้าคุณแคร์นะครับ 555 )

นี่อาจจะหาว่าผมอวย บ้าหรือเปล่า ชอบบังโคลนใหญ่ๆ มีแต่เค้าชอบท้ายสั้นๆ  ผมพูดด้วยความสัตย์จริงว่าชอบครับ
ผมชอบบังโคลนใหญ่ๆ  ชอบท่อยาวๆ ชอบท่อเงียบๆ ชอบรถเดิมๆ  ชอบรถมีกระจกมองหลังใหญ่ๆ

ผมอาจจะเป็น Biker ขวางโลกกระมัง!!!

เดี๋ยวนะ!!!! ด้านหลังคันเกียร์นั่นคืออะไร ผมตาไม่ฝาดไปใช่ไหม !!!!

 

 

สำรวจ Rider Cockpit กันมั่ง

จุดดีอีกหนึ่งจุดของ GSX-S150 อุปกรณ์ต่างๆ ดูเรียบง่าย แต่ใช้งานได้ดีวางไว้ถูกที่ถูกทาง รูปทรงของถังน้ำมันขนาด 11 ลิตรหนีบถังได้ถนัดถนี่มาก ตำแหน่งแฮนด์ก็วางไว้เป๊ะจริงๆ เมื่อนั่งแล้วเอื้อมจับรู้สึกเป็นธรรมชาติมากที่สุดในมวลหมู่ Naked 150cc  ( อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวและขึ้นอยู่กับสรีระศาสตร์ของแต่ละคนด้วย )  ฝาถังน้ำมันแบบบานพับเติมน้ำมันสะดวก กุญแจรถแบบ Shutter Key สองชั้น หน้าถังน้ำมันใช้งานง่าย กระจกมองหลังรูปทรงใช้งานได้ดีและเรือนไมล์ Multi function ขนาดกระทัดรัด

 

 

มาดูที่เรือนไมล์กันต่อ  ยกมาเลยจาก GSX-R150 คงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่  เรือนไมล์ชุดนี้ค่อนข้างบอกรายละเอียดได้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นวัดรอบ ความเร็วที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว  นาฬิกา Trip A,B  ที่เป็นสิ่งที่ควรจะมี   ไฟบอกเกียร์  ที่ถือว่าเป็นโบนัสและเริ่มจะเป็นสิ่งที่ควรจะมีของรถสมัยนี้ และตบท้ายด้วย Shift Light ที่ถือว่าเป็นโบนัสพิเศษที่ดีมากๆ ตัวนึงเลยทีเดียว จุ๊บๆจุ๊บๆ

โดยรวมแล้วในเรื่องอุปกรณ์ติดรถผมว่า Suzuki GSX-S150 คันนี้ให้มาเยอะ( โดยเฉพาะสิ่งที่คาดไม่ถึง ) ในสนนราคาทั้งคันที่ ต่ำกว่าชาวบ้านเขา คุ้มหรือไม่ ผมว่าเป็นดุลยพินิจของแต่ละท่านเอง แล้วหล่ะครับ ยิ้มยิ้ม

ส่วนผมเอาไป 9.5 เต็ม 10 ละกัน สำหรับในเรื่องนี้

 

 

กล่าวถึงแม่น้ำเวฬุสักนิด   แม่น้ำนี้อยู่ระหว่างเส้นแบ่งเขตจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด  มีลักษณะสำคัญคือเป็น “ชะวากทะเล” ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง

ชะวากทะเลคืออะไร  ถ้ามองใน Google map ก็จะเห็นเป็นรูปกรวจตรงบริเวณปากแม่น้ำแหล่ะครับ แต่ชะวากทะเลปากแม่น้ำเวฬุนั้นพิเศษหน่อยคือมีลักษณะ ค่อนข้างใหญ่และกินพื้นที่บางอำเภอ เช่น ขลุงของจันทบุรีและอำเภอเขาสมิงของตราด เป็นต้น  นอกจากนั้นชะวากทะเลปากแม่น้ำเวฬุนี้ ยังเป็นพื้นที่ป่าชายเลนผืนสุดท้ายที่ยังค่อนข้างคงความอุดมสมบูรณ์ไว้เต็ม ที่รวมไปถึงหมู่บ้านและการดำรงชีวิตของผู้คนด้วย เช่นกัน

ดังนั้นแถวๆนี้ก็มีอะไรให้ดูเยอะเลยหล่ะ น่าเสียดายที่เวลาน้อย ( อีกแล้ว )

 

 

เอาหล่ะ มุ่งหน้าสู่ปลายทางที่ตั้งใจจะว่าจะ เอารักมาโยนทิ้งทะเลเสียทีเราจะวิ่งบนนถนนสาย 3154 แถวนี้หลายๆ ท่านคงรู้จักกันดี เพราะเป็นเส้นทางสู่เกาะช้างที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนี่เองครับ

 

 

บนถนนสาย 3154 พอจะมีโค้งให้เล่นบ้าง เราก็ขยำขยี้คันเร่งให้หนำใจให้มันช้ำเหมือนความรัก
ให้มันได้รู้ว่ารถมันดีแค่ไหนจะได้เหมือนกับที่รู้ ว่าความอกหักมันเจ็บเพียงไร
จนในที่สุด เราก็มาถึงชายหาดที่ดูน่าลงเล่นนามแห่งหนึ่ง นามว่า

“หาดตาลคู่”

ดู๊ดู คนอกหักรักคุด แต่มาหาดอะไรคู่ๆ เนี่ย มันชีช้ำ ขนาดไหน ร้องไห้ร้องไห้

 

 

ขนาดต้นมะพร้าวยังมีคู่ ( ทำไมไม่ใช่ต้นตาลฟะ ) แล้วทำไมตรูไม่มีใคร..
รูปนี้เกือบเท่ห์แล้ว แต่สายไฟเจ้ากรรมทำเสียหมด!!!!

 

 

ข้อดีของอ่าวตาลคู่คือ  ชายหาดค่อนข้างสวย และผู้คนไม่พลุกพล่าน เหมาะแก่การนั่งทำมิวสิคศาลาคนเศร้าเป็นอย่างยิ่ง

และข้อดีของ GSX-S150 คือ  น้ำหนักมันเบามาก คุมก็ง่าย จะลากจูงไปทำมิวสิคตรงไหน จะลงถนน ลงหาด มันก็ไปได้หมด

 

 

ชายหาดช่างสวยใส

 

 

แต่หัวใจซิหมองหม่น

 

 

เมื่อเย็นย่ำดวงตะวันใกล้ลาลับ  แสงไฟหน้า LED ของเจ้า GSX-S150 ฉายแสงมาแต่ไกลในทิวต้นยาง
บนเส้นทางสาย 3154 เวลานี้มีสวนยางเรียงรายเต็มสองข้างทางไปหมด ในช่วงฤดูใกล้ผลัดใบให้สีสันออกเหลืองบ้างแซมเขียวบ้างดูสวยงาม
มโนเอาว่าอยู่เกาะนามิ ประเทศเกาหลีก็พอจะได้อยู่ หากแต่หยาดเหงื่อที่ไหลรินด้วยความร้อนเป็นตัวทำลายบรรยากาศนั้น

 

 

กรีดยางอยู่ใต้ไม่ปลอดภัย  มารีวิวมอเตอร์ไซค์อยู่ใน กทม …

 

 

เอาหล่ะ มาเหลาเรื่องรถกันบ้างในส่วนที่ถือว่าสำคัญมากๆ

เครื่องยนต์

บนพื้นฐานเครื่องยนต์บล๊อคดั้งเดิม 147.3cc DOHC 4 วาล์ว บล็อคที่เราคุ้นเคยกันดีใน Suzuki Raider 150 แต่คราวนี้มาในมาดใหม่ระบายความร้อนด้วยน้ำและเสริมด้วย การจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด รวมถึงมีการปรับนู่นปรับนี่มากมายหลายอย่างทำให้สมรรถนะดีขึ้นและประหยัด น้ำมันขึ้น  ความรู้สึกที่ส่งถ่ายจากเครื่องยนต์คล้ายๆ เดิมจากยุค Raider 150
เพียงแต่มีความนุ่มนวลและดิบน้อยลงอีกนิดหน่อย   ชุดเกียร์ 6 สปีดที่เป็นตัวส่งกำลังทำงานได้ลื่นไหลปานกลางทำงานรับกันดี หากแต่ในการเดินทางไกล การส่งกำลังในเกียร์ 6  อาจจะห้อยไปบ้าง สำหรับน้ำหนักบรรทุก 90 กิโลกรัมขึ้นไป  หากได้รับทดสเตอร์หลังขึ้นอีกสักฟันสองฟัน เชื่อว่าต้นจะจี๊ดจ๊าด ปลายจะไหลขี่สนุกยิ่งกว่านี้

สุ้มเสียงที่ส่งออกจากปลายท่อนั้นส่งผ่านมายุคต่อยุค แม้จะเป็นท่อเดิมแต่สุ้มเสียงในรอบสูงยังแผดได้ดุดัน เล็กๆ แต่ไม่รำคาญหูยามเดินทางไกล

ถามหาความความเร็วสูงสุด บนน้ำหนักบรรทุกประมาณ 130 กิโลกรัม  ทำได้ที่ 130 กม/ชม ตามเรือนไมล์พอดี   หากลดน้ำหนักบรรทุกลงมาที่ 85 กิโลกรัม  ขยับขึ้นไปแตะ 135-138 ได้โดยความเร็วที่กล่าวต้องอาศัยสายลมและธรรมชาติช่วยเหลือนิดหน่อยด้วย  ในส่วนของอัตราเร่งต้นยังไม่ปรู๊ดปร๊าดตามสไตล์เครื่องชักสั้น แคมเยอะ วาล์วเยอะ  แต่พอไต่รอบขึ้นไปสัก 5 พันรอบ  ถือว่าอัตราเร่งเริ่มติดมือยาวๆ ไปยัน 10,500 รอบ เมื่อผสานกับชุดเกียร์ 6 สปีด ไล่เกียร์ดีๆ ขี่ในเมืองได้สนุกกว่า GSX-R พอตัว ส่วนการเดินทางไกลนั้นอาจไม่ใช่จุดเด่นของรถ Naked  แต่ก็ถือว่าความเร็วเดินทางระดับ 110-115 ทำได้สบายๆ ( ถ้าเป็นตัว GSX-R 150   ความเร็วเดินทางที่สบายๆ ทำได้แตะระดับ 125-130 กม/ชม เลยทีเดียว )

ถามไถ่ถึงอัตราการกินน้ำมัน อยู่ในช่วงระหว่าง 27 – 32 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับการเดินทางไกลแบบอัดหมดปลอก หากใช้งานในเมืองธรรมดาๆ 35-37 กม/ลิตร อยู่ในพิกัดที่ทำได้กับน้ำมัน Gasohol 95 เมื่อรวมกับถังน้ำมัน 11 ลิตร  ถังหนึ่งก็จะไปได้เฉลี่ย 300 กมโดยประมาณ

สิ่งพิเศษอย่างที่บอกไปสำหรับเครื่องยนต์บล๊อคนี้ที่ ชาวบ้านเขาไม่มีกันคือ “คันสตาร์ทเท้า” ซึ่งอาจจะมีโอกาสได้ใช้ในยามที่แบตเตอรี่หมดหรือนึกสนุกอยากออกแรงสตาร์ทบ้างและ “ตาแมว” เอาไว้ส่องน้ำมันเครื่องซึ่งอันนี้ถือว่าช่วยให้การตรวจสอบระดับน้ำมัน เครื่องเครื่องสะดวกขึ้นอีก 500% เพราะมีขาตั้งคู่มาช่วยเหลืออีก ไม่เพียงแค่นั้น ระบบขับเคลื่อนด้วยโซ่นั้นก็ service ง่ายดายเพราะขาตั้งคู่อีกด้วย  ถือว่าดีงามพระรามเก้าไปเลย

ถ้าจะให้ตีรันฟันธงในเครื่องยนต์บล๊อคนี้ที่ทำงานบน ตัวถังรถ Naked ถือว่าทำได้ดี ขี่สนุกพอสมควร หากแต่อาจจะขาดอัตราเร่งในช่วงต้นแลกลางไปนิดอย่างที่ควรจะเป็นใน Naked Bike  แต่ย้ายความสนุกไม่ได้หนีไปไหน ย้ายไปบนย่านรอบกลางถึงสูงแทน มือหนักขึ้นอีกนิด ความสนุกก็จะบังเกิด   เอาไป 8.5 / 10 คะแนนครับ
ยิ้มยิ้มยิ้ม

 

 

ด้วยความเหนื่อยล้าที่ไม่ได้นอนเต็มอิ่มตั้งแต่เมื่อคืน ขี่รถผ่านรีสอร์ทเล็กๆ พอซุกหัวนอนแถวๆ ใกล้ๆท่าเรืออ่าวธรรมชาติแถวๆเกาะช้าง  ผมก็เลือกที่จะพักที่นั่นเลยแต่อนิจจานอนไปนอนมาจิตใจว้าวุ่น เลยออกมาขี่รถเที่ยว  ไปเจอชายหาดเล็กๆ ส่วนตั๊ว ส่วนตัว อยู่ห่างจากท่าเรืออ่าวธรรมชาติเพียง 100 กว่าเมตร

ขี่รถลงน้ำฆ่าตัวตายตรงนี้เลยดีไหม ???

 

 

ไม่เอาดีกว่ากลัวสำลักน้ำ.. เอ้ยไม่ใช่
วันนี้อาจจะเป็นวันที่พระอาทิตย์ตก  แต่อย่างไร วันพรุ่งนี้ต้องมีวันที่พระอาทิตย์ขึ้นเสมอขอแค่เรา สู้ต่อไป ชีวิตต้องมีหวังสิ

 

 

โลกยังคงกว้างใหญ่และมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ  ขอโยนความรักอันไม่สมหวังทิ้งน้ำครึ่งนึงตรงนี้แหล่ะ
เสร็จสิ้นพิธีกรรมเอารักมาโยนทะเล ก็ดื่มวีต้าร์นอนเลยเหนื่อยมามากแล้วสำหรับวันนี้

 

 

เริ่มต้นเช้ามาด้วยความสดใสและความหวังใหม่ๆ  รู้สึกว่าจิตใจดีขึ้น
ผมออกเดินทางสู่   “หมู่บ้านน้ำเชี่ยว”   ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรืออ่าวธรรมชาติประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น

 

 

จุดเด่นอย่างที่หนึ่งของหมู่บ้านแห่งนี้คือ    “สะพานวัดใจ”    ซึ่งเป็นสะพานโค้งสูงกว่าระดับสะพาน ทั่วๆไปอยู่สักนิดหนึ่ง

 

 

การเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนไม่ได้ยากเย็นอะไร  ด้านหนึ่งชมพระอาทิตย์ยามเช้าที่เริ่มสาดแสงทองสวยงาม

 

 

ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเห็นหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่สองฟากฝั่ง ของคลองน้ำเชี่ยว

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของหมู่บ้านนี้คือ  ชุมชนมุสลิมและพุทธอยู่รวมปะปนกันอย่างเหนียวแน่น เราจะเห็นทั้งมัสยิดและวัดไทยและจีนอยู่ในชุมชนแห่งนี้  ขอขนานนามที่นี่ว่า  ชุมชนสองศาสนา( พุทธ อิสลาม )  สามวัฒนธรรม ( ไทย จีนและแขก )

 

 

ยามเช้ากับริมคลองที่เรือประมงจอดเรียงราย อาทิตย์เริ่มทอแสงประกายสีทองประกอบกับบรรยากาศที่เย็นสบายช่าง สวยงามและสงบเป็นอย่างยิ่ง จุ๊บๆจุ๊บๆจุ๊บๆ

 

 

ถือโอกาสนี้นั่งทอดสายตา พักสมองผ่อนคลายความเครียด

 

 

ขี่รถไปตามสะพานมีหลังคาที่ทอดยาวริมสองฝั่งคลอง เพื่อดูวิถีชีวิตของชุมชน

 

 

คุ้งน้ำแห่งนี้มีโฮมสเตย์ให้พัก มีจักรยานและกิจกรรมมากมายให้ทำด้วยน่าเสียดายที่เมื่อวานเราไม่ได้มาพักที่นี่

 

 

สะพานทอดยาวลัดเลี้ยวไปสุดที่ป่าชายเลน

 

 

วิถีชุมชนแบบดั้งเดิมยังมีให้พบเห็น

 

 

 

ร้านอาหารบางแห่งเป็นมุสลิม จึงไม่มีเมนูหมู
แต่กระเพราไก่กรอบของร้านข้างริมคลองนี้อร่อยเหาะไปเลย

 

 

ทอดสายตาไปตามลำคลองที่คดโค้ง เริ่มเห็นผู้คนตั้งขบวนกันที่ที่มัสยิดประจำหมู่บ้าน

 

 

ถ้าเป็นชาวไทยพุทธ คงคล้ายๆ ขบวนแห่ขันหมากกระมัง

 

 

ริ้วขบวนเดินทางสู่บ้านงาน

 

 

ถึงเวลาต้องลาจากหมู่บ้านน้ำเชี่ยวแล้ว
ถือเป็นหมู่บ้านดีๆ ที่มีวัฒนธรรมและบรรยากาศที่งดงาม ผมชอบที่นี่มากครับ

ใครมีโอกาสได้มาเที่ยวตราด แนะนำให้มาที่นี่ด้วยนะครับ

 

 

ขากลับ แวะอำเภอแหลมงอบสักนิด

อำเภอที่เขาว่าเป็นสุดแผ่นดินตะวันออก  เราเอารักอีกครึ่งนึงมาโยนทิ้งน้ำที่นี่ดีกว่ากว่านะ
บรรยากาศที่นี่ดูสดใส ท้องฟ้าวันนี้ก็ดูสดใส ประภาคารสีแดงตัดขาวริมทะเลก็ดูสดใสอีกเช่นกัน อดีตที่หมองหม่นควรทิ้งไว้ข้างหลังแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก้าวไปข้างหน้าต่อไป

 

 

ทิ้งรักละทะเลที่  “สะพานแหลมงอบ”  นี่แหล่ะ

 

 

มาถึงเรื่องสำคัญสุดๆ อีกเรื่องหนึ่งของรถ นั่นก็คือ

ช่วงล่าง เบรกและแฮนด์ลิ่ง

ในเรื่องแฮนด์ลิ่งนั้นถือว่า เป็นจุดเด่นที่สุดของ   GSX-S150   ที่ผมประทับใจเลยทีเดียว เพราะตัวรถนั้นให้ความคล่องตัวสูง รู้สึกเบาและควบคุมง่าย ให้ความรู้สึกเป็น ธรรมชาติมากในย่านความเร็วต่ำและปานกลางซึ่งเหมาะกับการใช้งานในเมืองอย่างยิ่งยวด อยากจะเลี้ยวองศาไหนก็ง่ายไปเสียหมด ในทางกลับกันบนความเร็วสูงอาจจะรู้สึกว่าหน้าเบาและโคลงไปบ้างถ้าขี่คนเดียว แต่ถ้าซ้อนสองน้ำหนักเพิ่มขึ้นความรู้สึกว่ารถเบาและโคลงจะหายไปเกือบหมดในทันที ในส่วนการเล่นโค้งนั้น รหัส GSX นั้นรับประกันในสมรรถนะด้านนี้ มันจะคมๆ แม่นๆ หน่อย ส่งผ่าน DNA กันมา แม้จะไม่เทียบเท่าพี่ใหญ่ทั้งหลายก็เถอะ แต่เอาเป็นว่าผมรู้สึกสนุกมากเมื่อได้ควบคุมรถ GSX-S เล่นโค้งแถวๆ นี้  จนลืมความกลัดกลุ้มไปเลย

ช่วงล่างปรับตั้งมาค่อนข้างเน้นการขับขี่แบบสปอร์ต ด้านหน้าถือว่ากำลังดีเบรกแล้วยุบตัวให้ความรู้สึกดีแม้จะไม่ได้เป็นช๊อคอัพหัวกลับดูหรูหราแบบคู่เปรียบ แต่มันทำงานได้ดีพอจนลึมจุดนั้นไปได้นะเอ้อ  ในด้านหลังค่อนไปทางแข็งเล็กน้อยสำหรับการ ขับขี่แบบคนเดียว และมันพอดีมากๆ เมื่อซ้อนสอง ผมชอบการยุบและคืนตัวของช๊อคอัพหลังชุดนี้มาก มันพอดีๆเข้าโค้งเร็วๆ หนักๆ ไม่มีคำว่าย้วยให้ได้สัมผัส  ในขณะเดียวกันคำว่ากระด้าง ก็ไม่สามารถใช้ได้กับช๊อคอัพชุดนี้ เพราะยังมีความนุ่มนวลให้ได้สัมผัสอยู่บ้าง พูดว่านุ่มและหนึบก็คงได้

เฉพาะช่วงล่างนี้ผมให้ 9 คะแนนไปเลย

ระบบเบรกหน้าตาคุ้นตากันดี แต่มาคราวนี้ใน GSX-S และ R เขาพัฒนาฟีลลิ่งการส่งผ่านน้ำหนักการเบรกสู่มือ มาในระดับที่ให้ผ่านได้สบายๆ ไม่รู้สึกว่าเบรกแล้วทื่อๆ เหมือนในอดีตแล้ว ในเรื่องแรงเบรกเนื่องจากมีขนาดใหญ่( แถมยังหน้าตาหล่อเหลาด้วยจานเบรกลายหยัก ) นั้นก็ไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใดตรงจุดนี้เอา 9 คะแนนไปเลยเช่นกัน

กล่าวถึงเรื่องยางติดรถกันสักนิด สำหรับยางชุดนี้ถ้าขับขี่ทางแห้งถือว่าพอใช้ได้ ทางเปียกก็ลื่นหน่อยขอให้เพิ่มการระมัด ระวังกันให้ดี ถ้าเปลี่ยนได้ก็จะเพิ่มความ เฉิดฉายให้ GSX-S อีกเยอะเลย

กล่าวโดยรวมสำหรับเรื่องนี้ อยากจะให้คะแนนตามประเภทการใช้งานเลย ถ้าใช้งานในเมืองและมีคนซ้อน ผมให้คะแนนสำหรับ GSX-S ไปเลย 9 คะแนนแต่ถ้าหากนำไปเดินทางไกลๆ หรือใช้ความเร็วในระดับแตะ 120 แบบขับขี่คนเดียว อาจจะมีความรู้สึกว่ารถหน้าเบาเกินไปบ้าง ตรงจุดนี้ขอหักคะแนนเล็กน้อยเหลือ 8 ละกันครับ

 

 

ในท้ายที่สุด บทสรุปแห่งทริป

อยากจะบอกเด็กๆ พี่ๆ น้องๆ ว่า  คราวใดที่เราอกหัก แน่นอนโลกมันเป็นสีดำ ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูมืดและเศร้าไปหมด
ทางออกนั้นมีมากมาย แล้วแต่สูตรใครก็สูตรมัน แต่สูตรนิยมเช่นการเดินทางก็ยังคงมีอยู่

ออกเดินทางกันครับ  แล้วจะรู้ว่า   โลกนี้ยังมีอะไรให้เห็นและเรียนรู้อีกเยอะนอกเหนือจากเรื่องความรัก
เรื่องราวเหล่านั้นก็จะสอนเราเอง ว่า ควรจะจัดการความรู้สึกอย่างไร
 ^^

สำหรับจังหวัดตราด

ในมุมของผมยังมีสถานที่ ชายหาด ป่าชายเลน ภูเขา และชุมชนอีกมากมายใน จังหวัดนี้ที่ยังไม่ได้สัมผัส
กลิ่นไอของจังหวัดนี้ไม่แต่กต่างจากภาค ใต้ตอนกลางๆ สักเท่าไร แต่ไม่ต้องเดินทางไกลขนาดนั้น
เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่น่าค้นหาในครั้ง ต่อๆไปแน่นอน

ขอเพิ่มเป็น Wishlist ก่อนนะ ยิ้มยิ้มยิ้ม

 

 

บทสรุป

Suzuki GSX-S150    สำหรับผมจุดเด่นที่นึกออกเลยคือ ท่านั่งที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติที่สุดในคลาสและการควบคุมย่านความเร็ว ต่ำแหล่ะปานกลางที่ลื่นไหลคล่องตัวที่สุด ผสานกับช่วงล่าง เฟรมและเบรกที่เซ็ทมาค่อนข้างแนวสปอร์ตทำให้ย่านความเร็วปานกลางนั้นขี่สนุก มาก น้ำหนักรถที่เบาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเอื้อนเอ่ยเพราะทำให้เราใช้งานได้สะดวก โดยรวมถ้ามองหารถใช้งานในเมืองสักคันกับสนนราคา 81,000 บาทซึ่งถือว่าถูกที่สุดในคลาสแล้ว

คงต้องถามโจทย์ของผู้ใช้งานและเรื่องความโดนใจกันดูว่า ชอบหรือไม่ครับ ถ้าชอบก็จัดไป ยิ้มยิ้มยิ้ม

ขอสรุปข้อดี ข้อเสียให้เป็นข้อๆ เพื่อง่ายในการอ่านและเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ บ้างเล็กน้อยก็ยังดีครับ

ข้อดี

– ขี่ง่าย

– การควบคุมย่าน ความเร็วต่ำและปานกลาง

– ช่วงล่าง ( โดยเฉพาะถ้าซ้อน 2 คน )

– เบรก

– ท่านั่ง

– ไฟบอก เกียร์และ Shift Light

– ตาแมว

– ขาตั้งคู่

– คันสตาร์ทเท้า

– บังโคลนที่บังโคลนได้จริง

– ดูนานๆแล้วหล่อแบบขรึมๆ

– เครื่องยนต์ ขี่สนุก ( ถ้าลากรอบ )

– ราคา

ข้อสังเกตุ/ข้อเสีย

– หน้าเบาในความเร็วสูง ( 120 ขึ้นไปและขี่คนเดียว )

– อัตราทดเกียร์ 6

– แรงบิดรอบต่ำไม่จี๊ดจ๊าด

– ช่วงล่างหลังอาจจะแข็งไปนิดสำหรับการ ขับขี่คนเดียว

วันนี้ขอลาไปก่อนเพียงเท่านี้ ครับ  ขอบพระคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้

อมยิ้ม17อมยิ้ม17อมยิ้ม17

 

 

สุดท้าย ขอขอบคุณผู้สนับสนุน   Pantip Garage

ที่ช่วยดลบันดาลให้ฝันน้อยๆ ของลูกผู้ชายบ้าๆ คนหนึ่งเป็นจริงขึ้นมา อมยิ้ม17อมยิ้ม17

ถ้าชอบในผลงาน หรือ คิดว่าเป็นประโยชน์( ได้บ้าง ) เล็กๆ น้อยๆ ช่วยสนับสนุนพวกเราต่อไปด้วยครับ

ขอบคุณครับ อมยิ้ม17

ครบเครื่องเรื่องยานยนต์ เข้าไปกดไลค์กันได้ที่

https://www.facebook.com/pantipgarage/

ต้นฉบับจาก : HTTPS://PANTIP.COM/TOPIC/34200631

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ GSX-S150 :  WWW.THAISUZUKI.CO.TH


REMOVE ALL
COMPARE
0
Scroll Up