Menu

บางครั้งเส้นทางที่แสนจะธรรมดาที่ใครๆก็ไปกัน
หาความแปลกใหม่อะไรไม่ค่อยได้
แต่เรากลับโหยหามัน
อาจเป็นเพราะเราเคยมีความทรงจำแต่ครั้งเก่า
ที่ยังคงตราตรึงในความทรงจำ

และนี่คือเส้นทางออกทริปครั้งแรกๆของใครหลายๆคน
มันจึงเหมือนมีมนต์ขลัง
ให้ย้อนรำลึกนึกถึงวันวาน
บนเส้นทาง

ทุ่งแสลงหลวง .. เขาค้อ.. ทับเบิก.. ด่านซ้าย

สำหรับม้าศึกคราวนี้จะบอกว่าเป็นประเภท
วัวเคยค้า ม้าเคยขี่
ก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนนัก
แต่นั่นเป็นบรรพบุรุษของเจ้านี่อีกที่หนึ่ง
อย่างไรก็คงขอฝากเนื้อฝากตัวกันอีกครั้งกับทายาทคันใหม่

SUZUKI V-STROM 650 XT

ป่ะ ออกเดินทางกันเลยครับ









เย็นย่ำค่ำลงแห่งสุดสัปดาห์
ผมกุลีกุจอเอากระเป๋ามัดเข้ากับแร็คท้ายของม้าศึกเดินทางในครั้งนี้
น่าเสียดายที่ไม่มีชุดแร็คข้างติดกระเป๋าเข้ารูปมาให้ด้วยกับซับเฟรมด้านท้ายชุดใหม่
แต่เอาน่ะ กับทริปเพียงสองวันสองคืน แค่กระเป๋ามัดท้ายก็เพียงพอแล้ว


เสียงเครื่องยนต์ V-TWIN ของเจ้า V-STROM ฮัมเพลงแบบเงียบๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียง
มีเพียงเสียงท่อเท่านั้นที่บรรเลงขับกล่อมโสตของเราพร้อมกับพากายเคลื่อนย้ายลัดเลาะฝูงมวลมหารถติดแห่งเย็นวันศุกร์ออกมาอย่าเนิบช้า

ผมเริ่มคุ้นชินกับการบังคับอาชาคันใหม่ขึ้นเรื่อยๆ พบว่ามันไม่ได้เป็นการลำบากลำบนจนเกินไปนัก หากจะเลือกอาชาไนยคันนี้เป็นคู่ใจ
ใช้งานในเมืองเนื่องจากขนาดกับน้ำหนักรถรถหกครึ่งมันก็คืออยู่ กึ่งๆแห่งความความพอดิบพอดี
หลุดออกจากเมืองฟ้าและสระบุรีเข้า สู่ถนนสาย 21 ที่คุ้นเคยมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของเราในยามค่ำคืนนั่นคือเมืองเพชรบูรณ์
ทริปคราวนี้ผมมีความสุขเป็นพิเศษ เพราะนานมากแล้วที่ผมไม่ได้ขี่รถกับพี่น้องผองเพื่อนเนื่องด้วยเรื่องการงานที่ทำอยู่นี่แหล่ะ
แต่คราวนี้เลือกเส้นทางนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะได้เดินทางท่องเที่ยวกับพี่น้องผองเพื่อนเนี่ยแหล่ะ แม้การทำงานในครั้งนี้จะต้องลำบากยากขึ้นก็ตาม..
เป็น CHOICE ที่ผมเลือกแล้วว่ามันเป็นสมดุลที่ดี


สุขใจเพลส
 คือเรือนพักยามค่ำคืนของเหล่านักเดินทางตามการเลือกสรรของน้องสาวท่านหนึ่ง
กับราคา 400 มีทอนแลกกับห้องที่กว้างขวางและค่อนข้างใกล้ตัวเมืองเพชรบูรณ์ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เราลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นเวลาตี 5 กว่าๆ ด้วยความหมายมั่นปั้นมือว่าอยากจะไปดูแสงเช้าบนทุ่งแสลงหลวง หน่วยหนองแม่นา
ก็เป็นภาพที่คุ้นตาเหมือนที่เคยอีกเหมือนเดิมคือ การมัดข้าวของเพื่อออกเดินทางยามรุ่งสาง


ชีวิตยามเช้าของผู้คนยังคงหมุนไปเหมือนที่เคย
ตัวผมเองก็เช่นกัน หากเสียแต่อาชาไนยคู่กายในวันนี้ที่เขาจั่วหัวว่าเป็นรถ SPORT ADVENTURE TOURER มันให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่เล็กๆ
ถ้าเทียบกับรุ่นพี่ของมันเพียงเพราะมันถูกขัดเกลาให้มีสมรรถนะบนท้องถนนดำที่ดียิ่งขึ้น


บนเส้นทางสายนางั่ว – เขาค้อ – หนองแม่นากับบรรยากาศยามเช้าที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน
เราเดินทางด้วยความหวังว่าจะเห็นทะเลหมอกตามรายทางสักครั้งแม้ความหวังอาจจะริบหรี่เล็กน้อย


พุ่งพาดผ่านอำเภอเขาค้อลัดเลาะบนเส้นทางสายคลาสสิคมุ่งหน้าหนองแม่นา
ทัศนียภาพข้างทางโอบล้อมด้วยเนินเขาน้อยใหญ่ลดหลั่นกันไปสุดสายตา
เบื้องหน้าจุดแวะพักแรกคือ เนินเขาตั้งตระหง่านที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเทือกเขาได้ 360 องศา
นามว่า “เขาตะเคียนโง๊ะ”

 



 


ภายใต้บรรยากาศชุ่มชื่นแห่งวสันตฤดู
ไอหมอกเริ่มมาหยอกแสงแดดที่เริ่มทอแสงส่องประกายไล่มาตามรายชายป่า
แม้ภาพที่ปรากฏสู่สายตาหาได้ประหลาดแตกต่างกันในแต่ละครั้งไม่
แต่ก็สุขใจที่ได้พบเจออีกครั้ง…


มันเป็นมนต์เสน่ห์แห่งวสันตฤดูที่เราไม่อาจจะคาดเดาได้
ช่วงเวลาก่อนหน้าอาจไร้วี่แววสายหมอก แต่กาลต่อมากลับหยอกเราเล่นด้วยปุยเมฆที่เคลื่อนคล้อย


ปรากฏการณ์เล็กๆน้อยๆ ของธรรมชาติที่หาได้ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด
สำหรับบางคนเป็นภาพที่ชินสายตา หาดูได้ทั่วไปตามอินเตอร์เน็ต
แต่สำหรับสายนักขี่ที่ผ่านเส้นทางอันเหน็ดเหนื่อยและขาดการพักผ่อนมา
มันช่วยเติมความชุ่มชื่นและเป็นแรงใจในการเดินทางต่อไป
นี่แหล่ะ ที่เขาบอกว่า หากไม่เคยพบความทุกข์ จะรู้จักสุขได้ฉันใด
ทุกข์มากเท่าใด เหนื่อยแค่ไหน สุขก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นตามสัดส่วนฉันนั้น…


ปุยเมฆคลอเคล้ากับเจ้าอาชาไนยคันใหม่ที่ต้องบอกว่า ในสายตาผมตอนนี้มันเป็นรถสายอเนกประสงค์พิกัดกลางที่หน้าตาดูดีที่สุดแล้ว
อะไหล่ที่ให้มาโดยเฉพาะล้อซี่ลวดแบบ TUBELESS ที่มีราคาสูงก็ยังให้มาด้วยซึ่งหาจากคันไหนไม่ได้แล้วในคลาสนี้ ราคานี้
นอกจากนี้ SUZUKI ยังแอบให้อกไก่มาใน VERSION XT เพื่อลดความกังวลในยามลุยว่าอุปสรรคเบื้องหน้าจะทำอันตรายแก่ไส้กรองน้ำมันเครื่องและตัวท่อไอเสียด้วยหล่ะ


มัวเพลิดเพลินเจริญใจกับสายปุยเมฆหมอก
เป้าหมายที่ตั้งใจมาหยอกทุ่งหญ้าและป่าเขาเลยมาพร้อมกับเปลวแดดที่แรงกล้า
ใต้ฟ้าอาทิตย์ดวงเดียว ไฟหน้าเจ้าวีสตรอมก็เหลือดวงเดียวเช่นกันกับความเห็นนานาจิตตัง บางคนชอบตาคู่บางคนชอบตาเดียว
ก็คงต้องบอกว่า ลางเนื้อชอบลางยา วัดออกมาเป็นตัวเลขได้ไม่ แต่แสงสว่างที่สาดไปจากไฟหน้าดวงใหม่วัดได้ด้วยตาว่าสว่างขึ้นและที่สำคัญหลอดยังเป็นฮาโลเจนอยู่ มิใช่ LED ที่ให้แสงสีขาวที่ผมไม่ชอบเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด
ชิลด์หน้าที่ให้มาเป็น ระบบอัตโนมือ ที่ต้องมีไขควงเข้ามาช่วยก็ไม่ว่ากัน ก็ถือว่าที่ให้มาคุ้มค่า คุ้มราคาแล้ว


มาทุ่งแสลงหลวงแล้ว จะไม่เข้าไปเที่ยวในทุ่งก็กระไรอยู่
ขออนุญาตต้นสังกัดสักเล็กน้อยว่าจะเอา รถเข้ามาวิ่งลองเชิงสักนิดพอหอมปากหอมคอ ( ไม่กล้าแรงเดี๋ยวของเขาล้ม )
ช่วงแรกของการเดินทางเป็นถนนฝุ่นเรียบๆ


อันที่จริงแอบผิดหวังเล็กๆ เพราะทุ่งแสลงหลวงในแบบที่เราชอบคือวันฟ้าครึ้มๆ สีเขียวสดๆ แบบในภาพที่ถ่ายไว้เองจากการมาที่นี่( ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว )


ชีวิตก็มีสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง คละเคล้ากันไป
ในวันฟ้าใสแห่งวสันตฤดูก็มีมุมที่สวยของมันเหมือนกัน..
เดินทางกันต่อไปบนอานของเจ้า V-STROM ที่ดูเหมือนจะได้รับการจัดระเบียบในด้านเรือนร่างที่เพรียวขึ้นและการกระจายน้ำหนักใหม่
ตัวรถ ให้ความรู้สึกเป็นกลางมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นในรุ่นก่อน ส่งผลให้การควบคุมในทางเถื่อนนั้นพริ้วและผ่านอุปสรรคได้ง่ายกว่าที่เคยเป็น
แม้ว่าน้ำหนักเปียกพร้อมน้ำมันเต็มถังจะพุ่งไปเกือบๆ 230 แต่ในความรู้สึกการควบคุมกลับรู้สึกว่าเหมือนรถที่เบาประมาณ 190 กิโลกรัม อย่างไงอย่างงั้น
หากจะกล่าวถึงความมันส์ในทางดิน แนะนำว่าให้ปิด TRACTION CONROL เพื่อที่จะเล่นกับทางดินได้เต็มที่หน่อย หากแต่เสียดายที่ระบบเบรก ABS นั้นไม่สามารถปิดได้ ดังนั้นการเบรกแล้วสไลด์ท้ายนั้นลืมไปได้เลย ยกเว้นสไลด์ข้างแต่ถามว่าผมกล้าไหมล่ะ 555
การควบคุมในทางเถื่อนนั้นง่ายกว่าที่เคยเป็น หากมีทักษะเพียงพอ มีคนกล่าวไว้ว่าสามารถขี่มันเป็น BIG ENDURO ลุยเข้าทางที่โหดหน่อยได้เลย
มันเป็นรถที่มีดีกรีความ ADVENTURE อยู่ในสายเลือดในระดับที่เข้มข้นใช้ได้เลยทีเดียว


ลึกเข้าไปในดินแดนแห่งทุ่งหญ้า เปลี่ยนหน้าตาเป็นป่าสนตั้งสูงชะรูดชูชันท้าแสงตะวัน


เนื่องจากมีน้องๆ รออยู่ จึงทำให้เวลาในทุ่งแสลงหลวงเรามีน้อยนัก
รีบออกเดินทางไปเก็บสถานที่ต่อไปตาม CONCEPT
“เที่ยวเก๋ไก๋ สไตล์ชะโงกทัวร์” 555


ตัดผ่านตัวอำเภอเขาค้อมามุ่งหน้าสู่ “บ้านเพชรดำ”
แล้วเชิดหน้าขึ้นตามสายถนนที่ไต่ขึ้นสู่ที่สูงอันเป็นตำแหน่งที่ตั้งของ “ทุ่งกังหันลม”
ถนนที่คดเคี้ยวเรียงตัวทอดผาดผ่านความเขียวชะอุ่มของฤดูฝน
ซึ่งมองย้อนลงไปเป็นภาพที่ให้ความสดชื่นตาและดีต่อใจในระดับนึงทีเดียว…
ถ้าใครถามว่า ชีวิตนี้เราฝึกฝนสิ่งใดอยู่
คำตอบของผมคือ สติและการมีความสุขกับสิ่งที่เรียบง่ายที่มีอยู่รอบๆตัวเรานี่แหล่ะ..


จากเชิงเขาพื้นราบแห่งตัวเมืองเพชรบูรณ์จนกระทั่งไต่สู่ยอด “ทุ่งกังหันลม”
การโค้งที่ต้องพลิกพลิ้วไปมาเริ่มส่งให้ V-STROM คันใหม่นั้นฉายแววโดดเด่นแม้ว่าจะมีคนซ้อนท้าย แม้ว่าจะเป็นทางขึ้นเนิน แม้ว่าล้อหน้าจะใหญ่ขนาด 19 นิ้วเพื่อการข้ามผ่านอุปสรรค
ซึ่งสิ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา เป็นตัวทำลายสมดุลในการถ่ายเทน้ำหนักและลดทอนสมรรถนะแห่งการเข้าโค้งบนทางดำลงทั้งสิ้น
หากแต่เจ้า V-STROM กลับตอบสนองได้ในระดับดีงามพระรามเก้า การเข้าโค้งต่อเนื่องทำได้พลิ้วไหวและค่อนข้างง่ายไม่ต้องออกแรงมากมายแต่ อย่างใด การเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วหรือความเฉียบคมแน่นอนมันเป็นรองรถสปอร์ต แต่ในเชิงของการขี่ท่องเที่ยวนับว่าเพียงพอเพราะเราคงไม่เบรกหนักพับเร็วจัดๆบนท้องถนนที่คาดการณ์สภาพพื้นผิวและสถานการณ์ไม่ได้เป็นแน่ เสถียรภาพในการโค้งเมื่อรวมเข้ากับสมรรถนะยาง BRIDGESTONE BATTLAX ADVENTURE A40 แล้วมันคือนิ่งและเป็นธรรมชาติมาก ไม่ออกอาการสะดีดสะดิ้งให้เห็นเลยบนทางแห้งๆ ที่มีพื้นผิวที่ดีระดับทั่วๆไปของท้องถนนบ้านเรา
ช่วงล่างให้มาถือว่าลงตัวในแบบกลางๆ ออกไปในแนวเอาใจสายถนนนิดๆ มันไม่ได้นุ่มย้วย แต่ออกแนวหนึบหนับปนแข็งนิดๆเสียมากกว่า ( ปล. ตรงจุดนี้ความรู้สึกของแต่ละคนไม่เท่ากัน ) ถ้าเป็นการใช้งานบนความเร็วที่กฏหมายกำหนดหรือเอาแบบเหมาะสมกับสภาพถนนเมืองไทยทั่วๆไปก็คงต้องบอกว่า เหลือเฟือ เอาอยู่
โดยรวมๆแล้วคำว่า SPORT ที่แปะอยู่บน STICKER ของตัวรถมันไม่ได้แปะมาเล่นๆ


ทุ่งกังหันลมตั้งอยู่บนเขาที่ค่อนข้างสูงกว่าเพื่อนบ้านรอบด้านและด้านบนเขายังเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่สมกับคำว่า “ทุ่ง”
เมื่ออยู่สูงกว่าใคร สายลมที่โชยผ่านก็แน่นอนว่า รับไปเต็มๆ


ความเป็นเด็กยังคงซ่อนตัวอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกคนเสมอ
ตราบใดที่ร่างกายยังซุกซนไหว…


จากทุ่งกังหันลม ทอดสายตาไปยาวๆ เราจะมองเห็น  “ผาซ่อนแก้ว” ไกลๆ
และนั่นคือเป้าหมายต่อไปของเรา|


ความสบายและชิลๆยามออกทริป ใครๆ ก็มองหากัน
เบื้องหน้าผาซ่อนแก้วที่ยิ่งใหญ่ริม ถนนสาย 12 ยังมีร้านกาแฟและอาหารประจำของผมที่มากี่ทีก็ต้องแวะ เพียงเพราะเหตุผล 2 ประการเลยคือ
เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนและบรรยากาศดีพอใช้ได้ ที่นี่คือ …
“หน่วยอุทยานแห่งชาติเขาค้อ (ผาซ่อนแก้ว)”


ทอดสายตาไปยาวๆจากร้าน เราจะเห็นวัดผาซ่อนแก้วตั้งตระหง่านเด่นเป็นสง่ามีฉากหลังเป็นภูเขาอันยิ่งใหญ่


โหยหาความสบายของจุดพัก และที่พำนักที่แท้จริงของนักขี่มอเตอร์ไซค์หล่ะ

มันคือความรู้สึก ที่มีต่อเบาะนั่ง แฮนด์เดิ้ลบาร์ พักเท้า ความสูงของตัวรถ บลาๆๆๆๆ…
ในเรื่องท่วงท่าการนั่งคงต้องบอกว่า ให้ความรู้สึกสบายๆ แฮนด์ฯสูงกำลังดี ให้ทั้งความสบายและการควบคุมที่ง่ายใช้งานได้ดีทั้งทางดินกับทางดำ
ตัวเบาะนั่งเหมือนจะให้ความรู้สึกเฟิร์มขึ้นกว่ารุ่นพี่ แต่ก็บอกตามตรงว่าผ่านระยะทางมา 500 กว่ากิโลเมตรจำไม่ได้เลยว่าเมื่อยก้น
พักเท้าวางอยู่ในตำแหน่งที่คิดว่า อยู่กึ่งกลางระหว่างการขับขี่บนทางดำและทางดิน สำหรับความรู้สึกของตัวผมเวลาขี่ยาวๆ รู้สึกว่าขาพับมากไปนิดแอบเมื่อยนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่ยามขี่ในเมือง ความรู้สึกแรกคือพักเท้าเกะกะไปบ้างยามจะเอาขาลง ซึ่งก็เป็นธรรมดา ของพักเท้าสายกลาง ที่มาอยู่บนรถสูงๆ หน่อย
เบาะคนซ้อนจากการสอบถามสก๊อย ได้ความว่าให้ความรู้สึกสบายๆ เช่นกัน เบาะหนานุ่มหนึบกำลังดี ไม่รู้สึกว่าเวลาเบรกหนักๆแล้วไหลมากองกับคนขี่ พักเท้าเองก็ไม่ต้องงอขามากทำให้นั่ง สบายๆ  ติอยู่อย่างเดียวเล็กๆ คือ พักเท้าสองข้างไม่สมดุล คือ ด้านขวาที่มีท่อมีพักเท้าจะอยู่ห่างตัวถังมากกว่าด้านซ้าย ซึ่งก็ไม่แปลกอีกเช่นกัน เพราะรถมีเกียร์ขนาด 200CC ขึ้นไปที่เคยขี่มาทั้งหมดมีรถไม่น่าเกิน 5 คันทีพักเท้าขวากับซ้ายนั้นสมดุล ( คนซ้อนเขาว่างั้นนะ )
โดยรวมคือ คำว่า TOURER ที่ติดมา เขาไม่ได้มาเล่นๆ เช่นเคย


สายฝนซัดสาดลงมาพร้อมกับสร้างความยากลำบากให้กับเหล่านักเดินทาง
ในบางสถานที่ ขาเข้าไปเป็นทางดินที่พอเข้าไปได้ แต่หากสายฝนเทลงมา
ขากลับกลายเป็นหนังอีกม้วนและที่น่าเศร้า ยิ่งกว่านั้นมันมีทางเข้าออกทางเดียวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่นี่ “ห้วยน้ำชุน”


บนสายถนนที่ทอดตัวยาวคดเคี้ยวลัดเลาะขึ้นสู่ยอดภูทับเบิกท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย
เครื่องยนต์ที่ถูกปรับจูนใหม่ มีแรงม้ามากขึ้น แรงบิดมาเร็วกว่าเดิม พูดง่ายๆ แรงขึ้นแต่กลับดิบน้อยลง พาเราลัดเลาะขึ้นเขาแบบสบายๆ
แม้รอบที่ใช้จะตกลงต่ำเพียง 3 พันรอบต่อนาที ขอแค่สะบัดข้อมือเพิ่มอีกหน่อย ก็มีแรงเพียงพอแก่การปีนป่ายอย่างไม่ขัดสน


บางช่วงเปียก บางช่วงแห้ง บางช่วงชุ่มฉ่ำด้วยฝน บางช่วงปะปนด้วยปุยเมฆหมอก
เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของยอดเขาสูง
ถ้าคุณไม่ชอบอากาศในตอนนี้ ขอให้รออีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงแล้วคุณจะพบกับบรรยากาศแบบใหม่


เมื่อนึกถึงอดีตของทับเบิก ชวนให้นึกถึงทุ่งกะหล่ำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาบนยอดเขาสูง


ในระยะเวลาเพียง 10 กว่าปี ทับเบิกพัฒนาแบบก้าวกระโดด รีสอร์ทที่พักนั้นผุดตัวราวกับดอกเห็ด
ย้อนกลับไปดูภาพในอดีตมุมเดียวกัน มันผิดกันเหมือนเป็นคนละที่


แม้ความสะดวกสบายจะมีมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในมุมนักท่องเที่ยวสายกางเต้นท์อย่างเราๆ
มนต์เสน่ห์ของทับเบิก มันน้อยลงไปจริงๆ


ในที่สุดเจ้าวีก็พาเราถึงที่หมายโดยปลอดภัย วันนี้เราเลือกพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ไม่ได้มีวิวพานอรามาแต่อย่างใด หวังเพียงเป็นที่ซุกกายเพื่อคลายเหนื่อยและหลบฝนโดยที่ไม่ต้องกางเต้นท์ลำบากลำบนในห้องขนาดที่วางเตียงเข้าไปหนึ่งหลังก็แทบจะคับห้องแล้ว
เข้าสุภาษิตที่ว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง


ถ้าไม่จำกัดราคารถ ผมมีเครื่องยนต์ในดวงใจอยู่หนึ่งถึงสองบล็อค แต่ถ้าจำกัดสนนราคาไม่เกิน 4 แสน
แน่นอนว่าเครื่องยนต์ V-Twin 645cc บล๊อคนี้ติด 1 ใน 2 เครื่องยนต์ในดวงใจแน่นอน ด้วยเหตุผลหลักๆเลยคือ  “ความแตกต่าง” และ “เอกลักษณ์”
เครื่องยนต์ V-Twin หากใครได้ขับขี่ก็คงรับรู้ได้ถึงเอกลักษณ์อันชัดเจนของมัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องสุ้มเสียงหรือการตอบสนองเครื่องยนต์ในด้าน อัตราเร่งหรือ Engine Break  หากแต่ใน Version นี้แม้จะถูกปรับปรุงใหม่ให้แรงม้ามากขึ้นกว่าเดิม 5 ตัว และแรงม้าทั้งหมดในคอกรวม 71 ตัว ไหลขึ้น ทอร์คมาเร็วขึ้นและเนียนขึ้น ( มากพอสมควร ) แต่ Engine Break และคาแร็คเตอร์ของ V-Twin เองก็ถูกริดรอนไปด้วยบ้าง
สำหรับขาโหดอาจจะบอกว่า มันเนียนไป ไร้คาแร็คเตอร์ แต่สำหรับสายชิลผมชอบนะและยังรับรู้และสัมผัสได้ถึงความเป็น V-Twin แถมยังทำให้เราขี่ได้เร็วขึ้นกว่าเครื่องยนต์ตัวเดิมพอสมควร
ในเรื่องของระบบเกียร์ ที่มาพร้อมกับเกียร์ 6 สปีด ทำงานได้ตามปกติของมันไม่ได้เบาแรง เกี่ยวปุ๊บเข้าปั๊บ ไหลลื่น เฉกเช่นรถสปอร์ตแต่อย่างใด เอาเป็นว่าไม่ดีไม่แย่และทำงานได้อย่างที่มันควรจะเป็น


ในด้านเครื่องยนต์ที่สมรรถนะเพิ่มขึ้นแบบไร้ข้อกังขา ท่อไอเสียของมันยังถูกออกแบบให้ต่ำลงมาเพื่อรองรับการติดตั้งชุดกล่องโรงงานได้ดีขึ้นและความกว้างเมื่อติดกล่องข้างโดยรวมลดลงถึง 8 นิ้วซึ่งมีนัยยะพอสมควรกับการขับขี่แถมพื้นที่ในการบรรทุกนั้นหาได้ลดลงไม่ ( แต่คิดว่าไม่สลักสำคัญสำหรับคนไทยเท่าไรเพราะอย่างไรเราก็นิยมทำแร็คติดปี๊บกันเองอยู่ดี )  แต่สิ่งที่ได้แน่ๆ คือ การกระจายน้ำหนักที่ดีขึ้น ศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง ขี่ดีขึ้นเป็นธรรมชาติมากขึ้น
มีเพียง 2 อย่างที่ยังติดใจในขุมกำลังชุดนี้คือ   เสียงท่อที่ขาดเอกลักษณ์ไปหน่อย ทั้งๆ ที่มันเคยนุ่มดุดันใน Gladius และ SV650 มาแล้ว และอัตราการกินน้ำมันจากการใช้งานโดยรวมที่ต่ำกว่า 20 กม / ลิตร ( แถว 19 โลลิตรที่ผมทำได้จากการขับขี่ในหลายๆรูปแบบปนกัน ) แต่นั่นอาจจะเป็นผลพวงจากการที่มันต้องแบกน้ำหนักตัวพร้อมน้ำมันเต็มถัง 20 ลิตร เกือบๆ 230 กิโลกรัมก็เป็นได้  อันนี้พอจะให้อภัยเพราะอย่างน้อยก็สร้างความสะดวกให้เราไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อยๆ ลากยาวเกิน 300 – 400 กิโลเมตรต่อถังได้อยู่ ตามแต่ความแรงของข้อมือเลย
2 สิ่งนี้เอง ทำให้มันยังยึดตำแหน่งสุดยอดเครื่องยนต์ในดวงใจ ในรถราคาไม่เกิน 4 แสนของผมไปไม่ได้ แต่ก็เกือบแล้วหล่ะ..


หรือจะไฝว้บนสังเวียนแห่งสายหมอก


ถึงเวลาโบกมือลาสายหมอกแห่งทับเบิกที่อาจจะเห็นจนชินตา
แต่สถานที่แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่แห่งความทรงจำร่วมกับหมู่มวลมิตรที่ร่วมเดินทางกันมาเสมอ
ไม่ว่าจะมากี่ครั้งก็ล้วนเป็นโมเมนต์หนึ่งที่งดงามและแตกต่างกันตามบริบทในแต่ละช่วงชีวิต
ขอบคุณปุยเมฆหมอกแห่งมิตรภาพที่คอยโอบอุ้มค้ำจุนจิตใจมิให้แห้งผากจากการตรากตรำทำงาน
แม้ชีวิตเราอาจจะมิได้ขัดสนจากงานประจำที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิต
หากแต่การท่องเที่ยวและมอเตอร์ไซค์คือสิ่งที่อุ้มชูจิตวิญญาณขนานแท้
ซึ่งหากขาดมันไป
สำหรับผม คงเหมือนชีวิตที่ไร้กาแฟดื่มฉันนั้น…


ออกเดินทางจากทับเบิกสู่ด่านซ้าย
บนเส้นทางสายหล่มสัก – ด่านซ้าย อันเป็นเส้นทางเขาแบบ High Speed
ถนนสายนี้เป็นสายที่ขี่สนุกและมีเสน่ห์แห่งการเดินทางในอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างกับภูทับเบิก
ไม่ว่าจะเป็นภูมิทัศน์หรือพาหนะ 2 ล้อที่หลากหลายกว่า


ลัดเลาะตามโค้งเขาเข้ามาสู่อำเภอด่านซ้าย ถึงจุดนี้ผมรับรู้กับสมรรถนะในด้านความเร็วสูงของเจ้า V-Strom แล้ว
สำหรับช่วงล่างที่ให้มา หากใช้ความเร็วสูงถือว่าจัดการได้ระดับหนึ่ง สำหรับสายโหดอาจจะบอกว่าช่วงล่างนุ่มไป
ในเรื่องระบบเบรกที่ให้มาถือว่าทำงานได้ในระดับปานกลาง การตอบสนองด้านหน้าแอบขอบอกว่าทื่อไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้บกพร่องด้านแรงเบรกแต่อย่างใด ขาดหายเพียงฟีลลิ่งความละเอียดที่ส่งถ่ายมายังก้านเบรกเพียงเท่านั้น


บอกตามตรงว่าการเดินทางของใครบางคนทำให้ผมเร่าร้อนทุกครั้งที่เห็น
มันทำให้เรานึกถึงคืนวันที่เรายังเยาว์  โลกช่างดูกว้างใหญ่ ประเทศช่างดูกว้างไกล
เราตื่นเต้นในทุกการเดินทางที่เราไป สายลมสัมผัส เหมือนจะแผดเผาผิวกายเราจนมอดไหม้
วันคืน มิตรภาพ ความฝัน การเดินทาง…


ไม่ว่าจะมาจากแห่งหนใด ปลายทางคืองานบุญอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งอำเภอด่านซ้ายนี่แหล่ะ
ปีนี้ ด่านซ้ายคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาชมผีตาโขน




สำหรับผม ปีนี้ขอมาหยอกผีเบาๆ พอหอมปากหอมคอครับ ( ชะโงกทัวร์นั่นแหล่ะ พูดง่ายๆ )


ถึงเวลาเดินทางกลับบนเส้นทางสายเดิม

ยามมาเรามาด้วยความหวังจะพบเจอบางสิ่ง
ยามกลับขอเพียงประคองชีวิตให้รอดปลอดภัยถึงที่หมายนั่นถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว


บนถนนอันแสนยาวไกล
ทุกคนมีเส้นทางเป็นของตัวเอง หากเส้นทางนั้นไม่ได้เบียดเบียนใคร
จงเชื่อมั่นในหนทางของตนเองเถิด


ห่าฝนที่โปรยลงมาหนักทุกที ทำให้ผมต้องก้มลงมองที่ Setting ของ Traction Control อีกที
เพราะจากความเร็วที่ใช้ผมเริ่มรู้สึกได้กับการตอบสนองที่เริ่มสไลด์ของเจ้ายาง Bridgestone Battlax Adventure A40
ไม่โทษยางอย่างเดียวเพราะก้มดูพื้นถนนดูบ้าง ก็ใช่ว่าจะมีพื้นผิวที่สนับสนุนการเกาะถนนแต่อย่างใด
แต่ก็เอาเป็นว่า รับรู้ว่ายางตัวนี้ไม่ได้ชอบถนนเปียกมากนักในทัศนะของผม
อีกอย่างหนึ่งผมพบว่าผมปิด Traction Control ไว้นี่หว่า

เรือนไมล์ชุดนี้สำหรับผมสิ่งที่โดดเด่นคือ ยังคงใช้วัดรอบเข็มแถมมา พร้อมไฟบอกเกียร์ แล้วตบท้ายด้วยตัวเลขบอกระยะทางที่เหลือ ที่น้ำมันสามารถวิ่งได้  ซึ่งฟังก์ชั่นนี้มักจะมีในรถ Adv ราคาแพงๆหน่อยนะ นี่น่าจะเป็นคันแรกหรือเปล่าที่รถราคา 3 แสนกว่ามีฟังก์ชั่นนี้ ถ้าผมจำผิดช่วยบอกด้วย
ว่าแต่มือถือผมใกล้แบตหมดแล้วหนิ ขอเสียบชาร์ตจากช่อง outlet ไปด้วยพลางๆเลยละกัน

อ้อ นิดนึงสำหรับคนที่สนใจในด้านตัวเลข ความเร็วสูงสุดที่ผมมีปัญญาจะกล้าลอง ( แต่ขอบอกว่ายังไม่สุด ) ผมเห็นเลขบนเรือนไมล์ขึ้นที่ 190 กว่าๆ รถอ่ะไปได้นะ แต่ใจผมอ่ะป๊อดแล้ว  ขอแค่นี้ละกันสำหรับถนนหลวง
หลังจากนั้นแล้วผมก็ลดความเร็วมาเดินทางกลับแบบที่สกู๊ตเตอร์ 150cc ยังวิ่งตามก้นได้


กดปุ่มกันสองสามครั้งเลือก Traction Control ที่ระดับ 2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเลย ซึ่งน่าจะเหมาะกับถนนเปียก
หลังจากปรับแล้ว รู้สึกมั่นใจขึ้นนะ ไม่รู้เป็นทางใจหรือเปล่า ก็ส่วนหนึ่งด้วยแหล่ะ แถมยังแอบรับรู้ได้บางจังหวะด้วยว่า Traction Control นั้นยื่นมือมาช่วยในบางจังหวะ
ไม่งั้นอาจจะมีกลิ้งบนทางเปียกนี้ได้


ในที่สุดผมก็เดินทางกลับถึงถิ่นฐานอย่างปลอดภัยเป็นอันจบทริปอย่างราบรื่นปลอดภัย
แม้การเดินทางจะจบลงแต่ความทรงจำก็ยังคงอยู่กับเรา แม้จะเป็นสถานที่ที่แสนจะธรรมดา ใครๆ ก็มาได้
แม้มันจะไม่ได้สวยเลอเลิศ แต่แค่สร้างความสุข ความสนุก และความทรงจำดีๆ ให้เราได้ยิ้มได้
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?


เวิ่นเว้ออะไรไร้สาระเสียเยอะ กลับมาสู่สาระ ข้อดีข้อเสียของเจ้า New V-Strom 650 XT เลยแล้วกัน

ข้อดี

+ หล่อจริงๆนะ

+ เครื่องยนต์มีเอกลักษณ์ นุ่มนวล และใช้งานง่าย ยกให้ติด Top 3 เครื่องยนต์ในดวงใจเลย

+ การควบคุมทางดำที่ดี มีความสปอร์ตขี่สนุกพอสมควร

+ การควบคุมในทางเถื่อนคล่องตัว ทักษะดีๆอาจจะพาไปทางโหดหน่อยได้เลย

+ สรีระศาสตร์

+ ความสบาย

+ แร็คท้าย

+ ซับเฟรมหลังใหม่ติดกล่องได้เลยและยังแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถไม่ป่องข้างมากจนเกินไป

+ เรือนไมล์ฟังก์ชั่นมาเต็มแถมด้วยวัดรอบเข็มกวาดกระชากใจ

+ ถังน้ำมันทรงสลิมแต่จุถึง 20 ลิตร

+ ล้อซี่ลวดไร้ยางใน

+ คุณภาพการประกอบ

+ รถ Import ญี่ปุ่นราคากระชากใจ

ข้อเสีย/ข้อสังเกต

– กินน้ำมันไปหน่อย ( 19-20 กม/ลิตร )

– อยากให้เบรกหน้าคมกว่านี้


และบทสรุปของ Suzuki V-Strom 650 XT ใหม่คันนี้หากจะให้เปรียบกับกับคนชายคนหนึ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
เปรียบเสมือนชายนิสัยดีมีความสามารถรอบด้าน เป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคมอยู่แล้ว เพียงแต่รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่โดนใจสาวๆไปบ้าง
เดินเข้าฟิตเนสและปรับบุคลิกภาพใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นชายที่มาดแมนแอนด์แฮนซั่ม ซ้ำยังแกร่งขึ้นทั้งเชิงรุกและเชิงรับ
แต่นิสัยยังคงติดดินแต่เข้าใจโลกและชำนาญในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ที่ตินะ หากรับบางจุดได้ เขาพร้อมจะพาหญิงสาวที่ถูกใจเขาด้วยอ้อมแขนที่อบอุ่น อ่อนโยนและมั่นคงพาตะลุยสู่โลกอันกว้างใหญ่ ไปพบเจอสิ่งใหม่ๆเท่าที่ใจต้องการเลยหล่ะ
หลังจากตกหลุมรัก V-Strom 1000 หัวปักหัวปำในคราวที่แล้ว พอมา V-Strom 650 XT ใหม่ ก็ยังเหมือนหนังม้วนเดิม
ถ้าถามว่ารักไหม ก็คงต้องบอกว่า เอาใจไปเลยครับ
อย่าเชื่อผม  ผมแฟนซู  และผมคนบ้าด้วยครับ ลองเองเถอะครับ

และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณสปอนเซอร์ Thai Suzuki และ Just-Ride-it ที่คอยช่วยสนับสนุนให้ออกไปเก็บเรื่องราวสาระและความสุขมาฝากกัน

https://web.facebook.com/justrideitteam/?ref=bookmarks

https://www.suzukimotosales.co.th/bigbike/bigbike.php?id_product=251

กระทู้นี้อาจจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายนักแต่ขอแค่ได้เป็นข้อมูลเล็กๆ ส่วนหนึ่งของการตัดสินใจหรือเป็นเสี้ยวหนึ่งของความบันเทิงของผู้อ่าน เท่านั้นถือว่ากระทู้นี้บรรลุความสำเร็จแล้วครับ
ขอบคุณที่ติดตามจนถึงบรรทัดนี้ครับ ขอบพระคุณจากใจจริงๆ

มีคำถามหรือข้อสงสัยใดๆ ถามได้เลยครับ จะพยายามตอบในไม่เกิน 3-5 ชั่วโมงครับ แฮ่ๆ ( เดี๋ยวเจ้านายจับได้ว่าเล่น pantip ในเวลางาน )


ต้นฉบับจาก : https://pantip.com/topic/36636916


ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
0
Scroll Up