Menu

สวัสดีครับ
คราวนี้ขอมาเล่าเรื่องราวการเดินทาง สู่น้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย
นามว่า “เปรโต๊ะลอซู” ยิ้มยิ้ม
ซึ่งเป็นน้ำตกที่ผมหมายมั่นปั้นมือ มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ว่าอยากจะขอชมเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิต…
แต่แล้วก็ปล่อยกาลเวลาให้ล่วงเลย ผ่านมาโดยที่ยังไม่ได้ไปเยือนมัน…
จนมาถึงวันนี้ ในที่สุดก็มีโอกาสที่มาเมื่อเวลาใกล้หมด…
ด้วยร่างกายที่กำลังจะโรยราไปตามกาลเวลา ตามธรรมชาติของมัน….
แต่เมื่อเวลาพอมี เงินพอได้ ร่างกาย( น่าจะ ) พอไหว ก็ต้องกัดฟันไปหล่ะคราวนี้….
และนอกจากการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่เรารักแล้ว…
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบ
มันคือ การขับขี่มอเตอร์ไซค์……. จุ๊บๆจุ๊บๆ
แน่นอน เวลามีน้อยนักในชีวิตคน ทำอะไรต้องทำให้คุ้ม ก็จัดการรวบยอดมันไปทีเดียว ด้วยการไปเยือนในที่ที่อยากเห็น
ด้วยวิธีการที่ชอบ…
จึงเป็นที่มาของทริปนี้ครับ
เปรโต๊ะลอซู กับ Suzuki Raider 150
ป.ล. สำหรับใครที่ไม่ได้สนใจในเรื่องมอเตอร์ไซค์ สามารถอ่านเฉพาะเรื่อง น้ำตกเปรโต๊ะลอซู ได้เลยนะครับ
ส่วนเรื่องมอเตอร์ไซค์ ผมจะเขียนไว้ด้านหลังนะครับ
ป.ล.2 ขอบคุณ Thai Suzuki สำหรับรถ Raider 150 สำหรับทดสอบครับ และขอบคุณ
https://www.facebook.com/motorcycpantip
ที่ติดต่อประสานงานให้ครับ เยี่ยมเยี่ยม
ป.ล.3 พิกัดแผนที่อาจจะไม่ถูกต้องนะครับ ผมมั่วๆ จิ้มๆ เอา แต่แถวๆ นั้นแหล่ะ( มั๊ง !!! )

 

 

แพลนของเราคือ
1. ขี่รถมอเตอร์ไซค์ให้จาก กทม ถึง อุ้มผาง ใช้เวลา 1 วัน ระยะทาง 670 กม ใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง ( ค่อนข้างเยอะเนื่องจากโค้งเยอะและเป็นฤดูฝนด้วย ไม่สามารถทำเวลาได้ )
2. ออกเดินสู่ เปรโต๊ะลอซู ระยะทางทั้งหมดประมาณ 25 กม ใช้เวลา 3 วัน
3. ขี่กลับจาก อุ้มผาง ให้ถึง กทม ใน 1 วัน ระยะทาง 670 กม เหมือนกัน
รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมด 5 วัน
และทริปนี้ต้องบอกว่า เป็นทริปที่มีปัญหามากที่สุดในชีวิตการเดินทาง เศร้าเศร้า
เริ่มต้น ที่งานที่หนักมากในช่วงนั้น แทบจะเรียกได้ว่า วินาทีสุดท้าย ที่จะสะพายกระเป๋าออกเดินทาง งานยังเข้ามา ทำให้ไม่สามารถออกเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทริปได้ ต้องปล่อยให้รถคันอื่นออกเดินทางไปก่อน และขี่ไล่กวดเอา
และก่อนหน้าออกเดินทาง ก็เป็นไข้เป็นอาทิตย์ เรียกได้ว่า ฟื้นจากไข้พอดี วินาทีที่จะขี่รถออกเลยทีเดียว เศร้าเศร้า
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด วันก่อนออกเดินทางนอนไม่หลับ ถึงขนาดเกือบจะถอยไม่ไปแล้ว เพราะการพักผ่อนสำคัญมาก กับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ยาวๆ
แต่สุดท้ายก็บอกกับตัวเองว่าขอลองกันซักตั้ง ถ้าไม่ไหวจริง ก็เลี้ยวกลับ จะไม่ฝืนตัวเองเด็ดขาด
และก็ออกเดินทางกันครับ…

 

 

ขี่รถออกมาเรื่อยๆ
ผมก็ประเมินตัวเองมาเรื่อยๆ ทุกระยะ ว่าไหวไหม ฝืนไหม มีอาการง่วง สลึมสลือไหม เสี่ยงไหม
ผลปรากฏว่า ยิ่งขี่ยิ่งกระปี้กระเป่า ( แม้จะไม่ได้นอนทั้งคืน ) ……
รถมอเตอร์ไซค์มันเหมือนมีมนตรา สำหรับผม ไม่เหมือนรถยนต์ ไม่ง่วง ก็ยังง่วง ยิ้มยิ้มยิ้ม
เอาวะ โชคเข้าข้างแล้ว ผมก็ขี่ไปเรื่อยๆ จนเลยแม่สอด เข้าสู่เส้นทางอุ้มผางครับ
ป.ล. เป้าหมายการขี่รถของผมคือ ท่องเที่ยว ด้วยการไม่ล้ม ไม่ชน ไม่แหกโค้ง ไม่เจ็บ ไม่มีแผลทั้งปวงครับ ตอนนี้ผ่านมา 7-8 ปีแล้ว ยังคงทำได้อยู่
แต่อนาคตใครจะรู้ได้ ทำได้อย่างเดียว คือ สติ สติ แล้วก็ สติ เท่านั้น ….
ป.ล.2 สำหรับคนที่ขับรถยนต์ แล้วบอกว่า มอเตอร์ไซค์ อันตราย…. มันอันตรายจริงครับ แต่มันก็มีหลักการความปลอดภัยมากมายที่ต้องศึกษา ต้องฝึกปรือ
แล้วเราจะจัดการกับอันตรายได้ครับ
ลองดูเครื่องบินเป็นตัวอย่างละกัน โคตะระอันตรายเลยครับ แต่เมื่อผ่านหลักการ ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ การฝึกปรือ การทดลอง ทดสอบต่างๆนา ประมวลมาเป็นหลักความรู้ หลักปฏิบัติ
เราสามารถจัดการความอันตรายให้อยู่ใน ระดับที่ปลอดภัยได้
มอเตอร์ไซค์ก็เช่นกันครับ…ยิ้มยิ้ม

 

 

ทริปนี้เนื่องจากต้องเดินป่าด้วย
ทำให้สัมภาระเยอะที่สุดในชีวิตการเดินทาง เพราะเป็นครั้งแรกที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเดินป่า…
ปกติ สัมภาระเที่ยว 10 วันสำหรับ 2 คน สามารถแพ็คใส่กระเป๋ากันน้ำใบเดียวได้เลย แถมยังพก Notebook เต้นท์ ถุงนอนยัดใส่กระเป๋ากันน้ำได้อีกนะเอ้อ
แต่คราวนี้ ยัดไม่พอจริงๆ ทำให้ต้องเอากระเป๋าติดข้างรถมาด้วย
ผลคือ ท้ายรถ ย้วย และ สไลด์ เวลาเข้าโค้ง เนื่องจากน้ำหนักไปตกอยู่ด้านหลังเสียมาก… ร้องไห้ร้องไห้
จอดแก้ไข โดยการยัดทุกสิ่งอย่าง แบบไม่เกรงใจกระเป๋า เข้าไปยังกระเป๋าด้านหน้า
ผลคือ ช่วงล่าง กลับมาทำงานดีเหมือนเดิม ท้ายไม่สไลด์และย้วยแล้ว
สวรรค์เลย… หัวเราะ

 

 

อีกประการที่ทำให้ท้าย ปลิ้นไป ก็ปลิ้นมา
ก็ด้วยเส้นทางที่เปียกๆ ชืนๆ
แถมหลุมดักกลางโค้งอันมากมาย
แต่ก็ได้บรรยากาศเหงาๆ ดีนะ หัวเราะหัวเราะ

 

 

ใกล้มืดแล้ว รีบทำเวลากันน่าดูครับ ….
รถเล็ก รถแม่บ้าน ถังน้ำมัน 4 ลิตรหน่อยๆ
ต้องเติมน้ำมันทุกๆ 100 กม ครับ
โดยเฉพาะเจ้า Raider 150 ของผม ซดน้ำมันกว่าชาวบ้านเค้า ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้
ช่วงอุ้มผาง ปั๊มใหญ่ปิด นี่มีหลอน ต้องหาปั๊มหลอดเติม

 

 

จากนั้น หลังจาก 6 โมงเย็นเป็นต้นมา
ฝนตกตลอดทาง แถมฟ้าก็มืดแล้ว อุ้มผาง 80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงกว่า ร้องไห้ร้องไห้
ทั้งฝน ทั้งมืด ทั้งหลุม ทั้งหมอก ครบเซ็ต
รถเละ คนเละ สภาพเละกันเป็นลูกหมาตกน้ำ ครับ
และถึงอุ้มผางเกือบๆ 4 ทุ่ม ด้วยสภาพปางตาย
หาไรกินแล้วก็นอนเลย

 

 

เราพักกัน 1 คืนในตัวอำเภออุ้มผาง
อย่างที่บอกทริปนี้เป็นทริปเจ้า ปัญหา ตามปกติ ขี่รถมาเหนื่อยๆ ผมจะนอนหลับสนิท
แต่คราวนี้แปลก หลับๆ ตื่นๆ อีก
ตื่นเช้ามา สภาพเป็นผีตายซาก ร้องไห้ร้องไห้
รีบเตรียมสัมภาระ สำหรับเดินป่า ขึ้นรถกระบะเดินทางสู่ “หมู่บ้านกุยเลอตอ” อันเป็นจุดเริ่มเดินเท้า
บนเส้นทางสาย 1288
ระยะทาง 50 กิโลเมตร
คนนั่งด้านหลังกระบะ บอกว่า “แทบอ๊วก” เค้าล้อเล่นเค้าล้อเล่น

 

 

หนทางไม่ง่าย
ทั้งโค้ง ทั้งโคลน
บอกได้คำเดียว ถ้าขี่มอเตอร์ไซค์มา ตายแน่ๆ
50 กิโลเมตร รถยนต์ 4×4 ใช้เวลา 2 ชม กว่า
มอเตอร์ไซค์คง 3 ชม กว่าเป็นแน่

 

 

และก็มาถึงจุดเริ่มเดินเท้า
สังเกตรองเท้าเจ้าคนขวาสุดครับ ( ผมเอง ) ด้วยความไม่เตรียมพร้อม และยุ่งจนไม่มีเวลาเตรียมด้วย
สิ่งนี้แหล่ะ ทำให้ผมทนทุกข์มากกับทริปนี้ 5555

 

 

ครึ่ง กิโลเมตรแรก ต้อนรับกันเบาะๆ ด้วยการเดินลุยน้ำ
ยังชิลฮะ ยิ้ม

 

 

ต่อมา…
ต้อนรับด้วยทางโคลน
ตรงจุดนี้ ผมซึ่งใช้รองเท้ายางหุ้มส้นคล้ายๆ รองเท้า CROC
เมื่อย่ำไปในโคลนแล้ว ดึงเท้าขึ้นมา โดนโคลนดูด รองเท้าไม่ติดขึ้นมาด้วย
ต้องงมโคลนจนเนื้อตัวเละเทะ ร้องไห้ร้องไห้
ดึงไป ดึงมา สุดท้าย รองเท้าพัง หูรัดส้นขาด แย่แย่
ตัดสินใจทิ้งรองเท้าไว้ตรงนั้น เนื่อง ด้วยผู้ร่วมทริป ให้ยืมรองเท้าอีกคู่หน้าตาคล้าย Scroll รัดส้นอีกคู่นึง
สุดท้ายก็พังอีกคู่นึง
ถ้าซื้อรองเท้าบูท หรือ รองเท้านินจามาก็จบแล้ว ต้องโทษความไม่เตรียมตัวของตัวเองครับ ( เอาจริงๆ งานเยอะจนขี้เกียจศึกษาข้อมูลด้วยเลยไม่ รู้สภาพเส้นทาง )

 

 

หลัง จากผ่านดงโคลน ระยะทางน่าจะ 2 กม กว่าๆ มั๊ง
ก็เข้าสู่ทุ่งนาชาวบ้าน
พี่ลูกหาบไปยืมรองเท้าบูทชาวบ้านมาให้…
อายจริงๆ ที่เป็นตัวถ่วงคนอื่น ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้
แต่ใส่ได้แปร๊บเดียว เพราะเสียวหัวแม่เท้าพัง คับเหลือเกิน

 

 

ถัด จากทุ่งนา คือ ไร่ข้าวโพด
เริ่มไต่ความชันขึ้นนิดหน่อย
ตอนนี้ตัดสินใจเปิดโหมด เท้าเปล่า แล้ว
เพราะรองเท้าทำร้ายเท้าเหลือเกิน ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้

 

 

เริ่มเข้าป่าอีกครั้งนึง คราวนี้เดินกันยาวๆ เลยครับ
ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตัวกระผมก็ต้องเดินแบบมีสติมาก
ยก ย่าง เหยียบ ยก ย่าง เหยียบ มองต่ำตลอด ถ้าเตะหินขึ้นมามีเลือด
กลับออกไป คาดว่า บรรลุโสดาบันแน่ๆ หัวเราะหัวเราะ

 

 

เส้น ทางของเรา
ต้องเดินข้ามลำธารไปครับ
ณ จุดนี้ เราจะเริ่มไต่เขาจริงๆ จังๆ แล้ว

 

 

เดิน เลียบลำธารไปเรื่อยๆ
บรรยากาศสดชื่นมากครับ ( แต่แอบเสียวบางช่วงเหมือนกันนะ มันสูง )

 

 

เดินประมาณ 4-5 ชั่วโมงได้มั๊ง
เราก็มาถึงที่พัก จุดกางเต้นท์ของเรา
กินนอนตรงนี้ 2 คืนครับ

 

 

เดินตาอีกไม่กี่ร้อยเมตร
เป็นน้ำตกรูปหัวใจ  “เปรโต๊ะลอซู”
หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งครับ
( ดีใจที่รอดมาได้ โดยขา ยังไม่เจ็บ ไม่พัง มากกว่าเห็นน้ำตกอีก 555 )

 

 

ตื่นเช้ามา
มองไปยังยอดน้ำตก
วันนี้เราต้องปีนเขาขึ้นไปชมน้ำตกมุมสูง กันครับ
แต่ตอนนี้หมอกหนามาก มองไม่เห็นยอดเลย

 

 

เริ่มการเดิน ขึ้นดอย มะม่วงสามหมื่น
ชันมากเลยครับ
วันนี้ผมต้องยืมรองเท้าแตะเพื่อนมาเดิน ด้วยพื้นค่อนข้างเป็นหิน
เมื่อวานเดินเท้าเปล่ามาเริ่มเจ็บเท้าแล้ว ( มาเจ็บเอาช่วงน้ำตกเนี่ยแหล่ะเพราะต้องเดินลุยหิน )

 

 

และก็ถึงจุดที่ทรมานใจ “คนกลัวความสูง” อย่างผม ร้องไห้ร้องไห้
ด้านซ้ายกำแพงดิน ด้านขวา ลาดชันลงไป
มือซ้ายนี่จิกโคนหญ้าแน่นเลยครับ 55555
รูปถ่ายไม่มี เพราะหลับตาปี๋อยู่ครับ

 

 

ผมจะถอยหลายรอบแล้ว เพราะกลัวจริงๆ ความสูง
สุดท้ายกัดฟันมาจนได้  จุดนี้แหล่ะ ที่อยากมายืน!!!!
ภาพน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ประจักษ์กับตาแล้วครับ

 

 

ด้านขวามือ คือ ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น  อันสูงใหญ่
ผมรับรู้ได้ด้วยสัญชาติ ญาณเลยว่า  Level ความกล้าของผมในขณะนี้ ไปไม่ได้แน่  เพราะดูความสูง ความชัน มันสุดๆ ไปเลย
ยิ่งกว่าที่เดินผ่านมาอีก

 

 

อากาศที่นี่เอาแน่เอานอนไม่ได้
ถ้าคุณไม่พอใจอากาศตอนนี้   โปรดรออีก 2 นาที!!!!

 

 

ยังมีส่วนด้านบนของน้ำตก ที่นานๆ จะเผยโฉมให้เห็นซักที เพราะส่วนใหญ่จะถูกม่านหมอกปิดบังอยู่ตลอดเวลา
ความสูงของน้ำตกนี้ ถ้าให้กะด้วยสายตาถึงฐานน้ำตก  ไม่น่าต่ำกว่า 500 เมตรแน่ๆ

 

 

สูดอากาศบริสุทธิ์เสียให้พอ..

 

 

มีความพยายามที่จะ พิชิตยอดดอยมะม่วงสามหมื่น  ( ซึ่งอยู่ฝั่งพม่า )
สุดท้าย ฝนเทลงมาอย่างหนัก เป็นวิบากกรรมแห่งความชันและดราม่า
และก็ต้องล่าถอยครับ
ป.ล. ขออนุญาติใช้ภาพภาพจากผู้นำทางของเราครับ

 

 

หลังจากนั้น เพื่อนๆผมได้แยกออกไปเพื่อเดินขึ้นยอดกัน
ส่วนผมขอบาย เนื่องจากคิดว่า สังขารไม่ไหว กอปรกับคิดว่า ตัวผมเองไม่น่าจะไปถึงยอดได้  เลยนั่งรออยู่ที่มุมนี้แหล่ะ
นั่งรออยู่ 2 ชม พร้อมกับห่าฝนห่าใหญ่  ทุกคนก็กลับมา
แล้วเราก็เดินลงกัน

 

 

หลังจากฝนตกลงมาอย่างหนัก สภาพเส้นทางก็เต็มไปด้วยความลื่น
ไม่ต้องบอกนะครับ ว่าผม ซึ่งกลัวความสูง  และ ใส่รองเท้าแตะ สุดลื่น  แถมเข่าก็พังๆ แย่ๆ อยู่แล้ว
ต้องเดินบนดินลื่นๆ ริมหน้าผาขาลง จะทำอย่างไร
นั่งไถลไปได้ ผมก็นั่งไถลไปนี่แหล่ะครับ T____T

 

 

สุดท้ายพวกเรา ( จริงๆ ต้องบอกว่า ผมมากกว่า เพราะคนอื่นเขาชิลกัน  )  ก็รอดตายกลับมาถึง
ฉลองด้วยการนอนอาบน้ำในน้ำตก  ( ลองนึกๆ ดูแล้ว เหมือนเวลานี้ จะเป็นเวลาที่ชิล และ มีความสุขสุดในทริปนี้ละ 5555 )
ป.ล. น้ำตกที่นี่ดื่มแล้ว อร่อย มาก  อร่อยกว่าน้ำขวดที่พกไปอีกนะ  เป็นอีกที่ที่กินน้ำจากธรรมชาติแล้วอร่อย (  อีกที่คือ ประเทศ Iceland )

 

 

หลังจากฝนเทมาทั้งวัน น้ำบริเวณน้ำตกรูปหัวใจ เยอะอย่างนี้ฮะ
ป.ล. อันนี้เป็นภาพที่ถ่ายโดยผู้นำทางของเรา  ลุยน้ำตก ( สูงระดับอก ) เข้าไปถ่าย   เขาไม่อนุญาติให้เราๆ เข้าไปฮะ กลัวไม่รอดกลับมา

 

 

และ การสังสรรค์ด้วยมืออาหารอันแสนอร่อย
( อยู่ป่า กินอะไรก็โคตรอร่อยครับ )

 

 

รุ่งขึ้นต่อมา เดินกลับ และ เป็นการปิดทริป การเดินเท้าอันสะบักสะบอมเสียทีครับ

 

 

เมื่อไปถึง  ก็ต้องกลับให้ถึง ….
เป็นคำกล่าวของใครสักคน…
คราวนี้ก็มาถึง เวลา ที่เราจะต้องควบเจ้า Raider 150 กลับบ้านแล้วครับ

 

 

เอาล่ะ   User บ้านๆ  แบบผม ใช้รถท่องเที่ยว  จะมาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับเจ้า รถคนบ้า Raider 150 คันนี้
มีดี มีเสีย อย่างไร ตามสายตาของ User บ้านๆ คนนี้บ้าง
แยกเป็นเรื่องๆ ละกันนะครับ ^^
รูปลักษณ์    ( 4 / 5 )
ถ้ากล่าวถึงรูปลักษณ์ เจ้า Raider 150 เป็นรถ 150cc ที่มีขนาด เล็ก  เบา  เพรียวบาง  ที่สุดใน class แล้ว
คงไม่มีรถ 150cc คันไหนจะเล็ก เบา ( น้ำหนักเปียกแค่ 106 กิโลกรัม  แต่เหมือนจะหนักขึ้นกว่ารุ่นเดิมนิดนึง  )
เพรียว ไปกว่า ไอ้เจ้านี่แล้วหล่ะครับ

 

 

รูปรถคันเต็มๆ เห็นได้ตามใน Internet ทั่วๆไป ผมขอเสนอรูป โดยใช้รูปของผมที่อาจจะมีกระเป๋าบดบังไม่ว่ากันนะครับ
เจ้า Raider รุ่นใหม่นี้ มีหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนไปจากรุ่นเก่า
ในเรื่องลวดลาย สีสัน ถ้าเทียบกับตัวเก่า ผมว่า ดูสวยขึ้น โฉบเฉี่ยวขึ้นนะครับ
รวมถึงปลายท่อไอเสีย ที่เปลี่ยนใหม่ ที่มีลวดลาย ลูกเล่น ที่ปลายท่อมากขึ้น ( แต่ทำให้สมรรถนะรอบปลายด้อยลง )

 

 

เครื่องยนต์      ( 3/5 )
มาดูเครื่องยนต์ของเจ้า Raider 150 กันดีกว่า  รูปลักษณ์ภายนอก สีทอง มีครีบระบายความร้อนสวยงาม มาพร้อมออยล์คูลเลอร์ แถมมีตาแมวด้วย ( ชอบมว๊ากกกก )
หน้าตาให้ผ่านเลย  แต่มาดูการทำงานของมันกันดีกว่า

 

 

เอาสเป็คคร่าวๆ เทียบกับ 150 ตัวอื่นๆ ที่ผมเคยขี่มานะครับ

 

 

ดูจาก Spec นี้ Raider  มาพร้อมกับช่วงชักอันเป็นเอกลักษณ์ของ Suzuki  ( ยุคเก่าๆ หน่อย แต่รถใหม่ๆ บางคันก็ยังคงใช้อยู่ )
มันคือ ช่วงชัก 48.8 (เกือบจะสั้นที่สุดแล้ว สั้นกว่านี้ก็มีเพียง CBR150 และ Sonic 125 เท่านั้น ) อันมี เอกลักษณ์ที่ขี่แล้วจะรับรู้เลย ว่า
Torque  ( รอบต่ำ ) กูอยู่ไหน????
ซึ่งเจ้าช่วงชักที่ว่านี้ ยังคงมีอยู่ในรถ Suzuki หลายๆ คันในปัจจุบัน ( แม้ว่า ส่วนใหญ่หลายๆรุ่น จะถูกปรับเป็น ชักยาว หลายๆ รุ่นแล้ว )  เช่น  Burgman 125    ,  Van Van 125
หรือเป็นยุคเก่าๆ  ก็พวก Raider 125 , Viva 110, Best 110, Smash 110 เป็นต้น
ซึ่งเจ้าชัก 48.8 นี้ พอประกอบขึ้นมาเป็นรถ 125-150cc มันก็จะเป็นเครื่องยนต์ลักษณะ
“ชักสั้น ดันเร็ว”
พอประกอบเข้ากับ
“แคมเยอะ วาล์วเยอะ”
ตัวเลขต่างๆ มันก็ดูดี โดยเฉพาะแรงม้า
ซึ่งมันก็แรงจริง แต่ความแรง  มันมาที่รอบสูง  ย่านกำลังของเจ้า RD150 ต้องลากรอบเครื่องยนต์ให้อยู่ระหว่าง 8,000 – 10,000 รอบ  ถึงจะได้ความแรงนั้นมา  ก็ไม่น่าแปลกใจ  เลยเพราะเป็นธรรมชาติของเครื่องยนต์ลักษณะนี้อยู่แล้ว
ระบบจ่ายน้ำมัน ยังคงใช้คาร์บูเรเตอร์  มันที่จ่ายน้ำมันได้ “เนียน” ใช้ได้ ( อาจจะเป็นเพราะยังใหม่ )  เปิดคันเร่งเร็วๆ หรือ กระทันหัน ก็ตอบสนองได้ทันท่วงที  หรือ เปิดคันเร่งมาแรงๆ แล้วปิดทันทีก็ไม่มีสะดุด  ถือว่า  ทำได้ดี แต่ก็ยังคงสู้หัวฉีดไม่ได้อยู่ดี
ข้อดีของเครื่องยนต์ลูกนี้คือ
“ความมันส์”  “รอบปลายที่เร้าใจ” “รอบขึ้นไว”  “ทำให้มีเพดานรอบสูงกว่ารถคันอื่นๆ ยกเว้น CBR150”
ส่วนข้อเสียคือ
“กินน้ำมัน”  “รอบต่ำและกลางขาดแรงบิด” “ต้องใช้น้ำมันเบนซิน ถึงจะได้สมรรถนะเต็มๆ”
และทริปนี้  มี Exciter 150 และ Spark 135i เป็น Reference ในการทดสอบครับ
รวมถึงใช้ความทรงจำที่เคยขี่ Lifan KPR 150 ด้วยใน กระทู้
https://pantip.com/topic/33696770
และ Exciter 150 ในกระทู้
https://pantip.com/topic/33912208

 

 

จากที่ลองขี่หลายๆ คัน ได้ผลคร่าวๆ ประมาณนี้ครับ
RD150 ( ใช้แก๊สโซฮอล์ 91, 95 )
อัตราเร่งทางราบและทางชัน
KPR150 < SP135 < RD150 = Exciter150
ความเร็วทางราบ
RD150=KPR150 < SP135 < Exciter150                ( SP135 จะเร็วกว่า RD150 เล็กน้อยถ้าใช้แก๊สโซฮอลล์ )
ความเร็วทางขึ้นเขา
KPR150 < SP135 < RD150 = Exciter150               ( เอาจริงๆ ความเร็วบนภูเขา KPR150 อาจจะเร็วสุดด้วยระบบเบรค และ สมรรถนะแบบรถ Sport แท้ๆ แต่ในที่นี้นับเฉพาะเรื่องเครื่องยนต์ )
RD150 ( ใช้เบนซิน 95 )
อัตราเร่งทางราบและทางชัน
KPR150 = SP135   < Exciter150 < RD150
ความเร็วทาง ราบ
KPR150 < SP135 < Exciter150 < RD150               ( เมื่อเติม เบนซิน 95 RD จะใกล้เคียงกับ Ex150 มาก )
ความเร็วทางขึ้นเขา
KPR150=SP135 < Exciter150 < RD150
อัตราการกินน้ำมัน ( แก๊สโซฮอล์ 95 )
เริ่ม ต้น         จำนวนลิตร      สิ้นสุด                  กม/ลิตร
1554.3   === 3.1 ===   1640.7      ===>   27.9
1640.7  === 3.425===  1746.5     ===>   30.89
1746.5  === 1.77 ===  1795.9      ===>   27.9
1795.9  === 3.38 === 1907.5       ===>   33.02
1907.5 === 2.248 === 1965.2      ===>   25.67
1965.2 === 3.346 === 2057.4      ===>   27.55
ป.ล. การทดสอบที่อ้างมา น้ำหนักบรรทุกของรถแต่ละคันไม่เท่ากันครับ  อาจจะมีผิดมีเพี้ยนบ้างนะ แต่อ้างอิงข้อมูลจากต่างประเทศด้วย ( อินโดนีเซีย ) ก็ไม่หนีไปจากที่ว่านี้ครับ
สรุป
ยังคงแรงสุดในรถสาย Underbone ( ถ้าเติมเบนซิน 95 ) และถ้าเปลี่ยนปลายท่อเป็นของรุ่นเก่าด้วยจะยิ่งแรงขึ้นอีกนิด ( เพราะปลายใหม่จะออกแนวอั้นๆ )
แต่ก็แรงกว่า Exciter 150 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เล็กน้อยจริงๆ  ( แต่อัตราการกินน้ำมันนั้นต่างกันแบบโลก กับ พระจันทร์ )
แต่พอเติมโซฮอล์เข้าไป แรงรอบปลายก็ตกลงไปแบบพอรู้สึกได้
และความแรงของเจ้า RD150 ต้องแลกมาด้วยการรีดเค้น มันถึงจะออกมา  ตามสไตล์ของเครื่องยนต์ชักสั้น ดันเร็ว ทวินแคม 4 วาล์วครับ
ส่วนเรื่องการระบายความร้อนในการเดินทางไกลและเรียกใช้รอบเครื่อง 8,000-10,000 รอบ/นาที แบบต่อเนื่องนั้นไม่เป็นปัญหา
อาจจะรู้สึกว่ากำลังตกบ้าง ( เล็กๆน้อยๆ )  แต่ก็ไม่มากมายให้รู้สึกได้ชัดเจนแบบรถหม้อลมที่ไร้ ออยล์คูลเลอร์
เสียงเครื่องยนต์ และ ท่อไอเสีย ให้เสียงแบบรถยุคเก่าๆ คือ ดัง ไม่เงียบๆ ทุ้มๆ เหมือนรถยุคใหม่  จะมองเป็นจุดด้อยก็ได้ จะมองเป็นจุดเด่นก็ใช่ ( มันให้ความมันส์ เร้าใจ )
ว่ากันด้วย Top Speed  เรื่องของตัวเลขที่ใครๆ ก็ชอบถาม  สำหรับ BB อาจไม่จำเป็นเพราะเกิน 200 ไปก็ไม่ค่อยได้ใช้กันแล้ว
แต่สำหรับผม  Top Speed คือ ความเร็วในการเดินทาง   หรือ ภาษาบ้านๆ คือ “หมดปลอก”
เนื่องด้วยสัมภาระอันมโหฬาร ยามเติมแก๊สโซฮอล์ สามารถทำได้แค่ 115 ก็เต็มกลืนแล้ว
แต่พอเติมเบนซิน 95  แรงขึ้นอีกนิด ทันตาเห็น  ไปสุดที่ 121
ถ้าขี่คนเดียว ไรสัมภาระ แถมการหมอบให้อีก หน่อย 130 น่าจะได้เห็น
สำหรับผม ชอบคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์นี้นะ  เพราะมันลากรอบขึ้นเขามันส์ ดี   แต่ว่า ขอหัวฉีดได้ไหม  เพื่อความประหยัดน้ำมันและการจ่ายน้ำมันที่สมบูรณ์กว่านี้  ให้ความแรงที่คงที่ ( หรือเกือบจะคงที่ ) ไม่ว่าจะเติมน้ำมันอะไร แบบที่เครื่องยนต์หัวฉีดยุคใหม่ๆ เป็น
ป.ล. ผมแอบอยากให้ RD150 มีหม้อน้ำเล็กๆ ซักใบ  เพื่อความนุ่มขึ้น ลากรอบได้มันส์ขึ้น กำลังไม่ตก   แต่ถ้ามีหม้อน้ำ Raider ก็จะไม่ใช่ Raider สินะ
ป.ล.2  ถ้าข้อมูลที่ว่ามา ผิดพลาดประการใด ก็โปรดอภัยด้วยนะฮะ  บางทีก็เหนื่อยจนเก็บข้อมูลได้ไม่หมดหรือเลอะเลือนไปบ้าง 555

ระบบถ่ายทอดกำลังและคลัทช์ ( 3/ 5 )
เติมเต็ม Torque น้อยๆ ด้วยเกียร์ชิดๆ แบบ Sport 6 Speed ที่ค่อนข้างทดมาชิดหน่อย ช่วยเรียกกำลังเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดีใน ยามต้องขึ้นเขา
หน้าตา Sport พอสมควรเพราะมีแอบโยงเล็กๆ แต่ สูญเสียความ Sport ไปด้วย คันเกียร์ด้านหลัง =___=’
การเข้าเกียร์ค่อนข้างหยาบกระด้าง ไม่ไหลลื่นและเบาแรง แบบ Exciter 150
ซึ่งตรงนี้แหล่ะ อยากจะตัดคะแนนให้หนัก เพราะเกียร์ที่มีมากถึง 6 speed และทดมาชิดๆ ประกอบกับรอบจัดๆ ของชัก 48.8 มันควรจะมาพร้อมชุดเกียร์ที่ลื่นไหล
มันทำให้อรรถรสในการขับขี่ลดลงไปมากพอสมควรเชียวหล่ะ
เอนจิ้นเบรค มีให้บ้างพอสมควร ช่วยใช้ในการเบรครถด้วยเป็นอย่างดี ในหุบเขา
ด้วยความที่มีถึง 6 เกียร์ มาช่วยเติมเติมเครื่องยนต์บล๊อคนี้ สามารถต่อกรกับ Exciter 150 ได้อย่างสูสี แม้ตัวเลข Torque จะสู้ไม่ได้เลย
แถมยังส่งแรงได้กินขาด Spark135 ซึ่งมีเพียง 4 เกียร์ ทำให้สามารถทิ้งหายได้ในหุบเขาขาขึ้น
สรุป ก็มีทั้งดีและไม่ดีหล่ะครับ ยิ้ม

 

 

ช่วงล่างและแฮนด์ลิ่ง ( 4 / 5 )
ด้วยรูปทรงของรถ Underbone แบบแฮนด์เดิ้ลบาร์แบบต่อกับโช๊คเลย ( แบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ผมเรียกไม่ถูก ) หรือเรียกภาษาบ้านๆ ว่า
รถกระเทย
ช่วงล่างด้านหลังเป็นช๊อคอัพน้ำมันแบบเดี่ยว ด้วยรูปแบบระบบช่วงล่างแบบนี้ ต้องบอกว่า น่าจะดีที่สุดเท่าที่รถ Underbone ในท้องตลาดไทยในขณะนี้แล้ว
ประกอบกับการ Setting ทำได้ดี ทั้งหน้าและหลัง ไม่นุ่มไป ไม่แข็งไป ( สำหรับการขับขี่ 2 คน ) อีกทั้งรูปทรงของตัวรถ ซึ่งวางท้ายรถไว้สูง หน้ารถค่อนข้างต่ำ( กว่ารถทั่วไปในท้องตลาด ) ส่งผลให้กระบวนการเข้าโค้งค่อนข้างดีกว่ารถ Underbone ทั่วๆไป
สรุป ช่วงล่างดีงามครัม จะมีติก็ตรง ยางติดรถที่ให้มา น่าจะใหญ่กว่านี้ได้อีกสักนิด และ หนึบกว่านี้ให้มากๆ ( ลื่นเหลือเกิน )
ส่วนในเรื่องของการควบคุม ท่านั่ง ถ้าได้ขี่แรกๆ ก็จะรู้สึกแปลกๆ ด้วยเบาะรู้สึกเทไปด้านหน้า ทั้งคนนั่งแล้วก็คนซ้อน ต้องใช้เวลาสักนิดในการปรับตัว
พอนั่งได้ถูกท่า ถูกทาง การควบคุมก็เริ่มเป็นธรรมชาติ การพลิกซ้าย พลิกขวา ก็เร็วใช้ได้ แม้จะไม่คล่องเท่ารถแฮนด์สูงๆ
ท่านั่ง ถามว่า ขี่ทางไกลเมื่อยไหม สำหรับผม ไม่นะ เพราะผมชอบรถที่หมอบๆ หน่อย แต่ถ้ารถที่นั่งหลังตรงแหน่วนี่สิ ผมจะปวดหลัง
สรุปอีกที ในเรื่องการควบคุมก็นับว่าดีนะครับ ผมชอบ ให้ความรู้สึก sport ดี แต่ถ้าเทียบกับ SP135 หรือ Exciter150 ก็ต้องบอกว่า คนละเรื่องเลย
อันนั้น ก็ตามแบบแผนรถสมัยใหม่ ขี่ง่าย คุมง่าย เหมือนเทียบรถ Sport กับ Naked แหล่ะครับ ขึ้นอยู่ว่าจะชอบแบบไหน

 

 

ระบบเบรค ( 3 / 5 )
เป็นสิ่งที่ผมคาดหวังมากที่สุดจากเจ้า Raider 150 เพราะเบรคหน้าอันใหญ่ โตมโหฬารที่มาพร้อมกับปั๊มเบรคลูกสูบคู่ ( ที่หาไม่ค่อยจะได้ในรถยุคนี้ ราคาต่ำกว่า 6 หมื่นลงไป )
และด้านหลังยังเป็นดิสก์เบรคพร้อมปั๊ม เบรคลูกสูบเดี่ยวด้วยเช่นกัน
พอเอาเข้าจริงๆ ต้องบอกว่า เทสไม่ได้ วิ่งออกมาได้ไม่นาน จานดิสก์หน้าคดเสียแล้ว เบรคแต่ละที แฮนด์สั่นเป็นเจ้าเข้า แต่ผมก็ใช้เบรคอยู่อย่างนั้นทั้งทริปแหล่ะ
ต้องบอกว่าเสียดายมากๆ เพราะนี่คือสิ่งที่ผมอยากจะรับรู้มากที่สุดว่าระบบเบรคมันแจ่มแมวขนาดไหน
แต่สิ่งที่พอจับอาการได้อยู่นิดหน่อยคือ ฟีลลิ่งในการเบรคไม่ค่อยละเอียดเท่าไร กดก้านเบรคเพียงเล็กน้อย แต่ระบบเบรคจับตัวแบบค่อนข้างเต็ม ( หรือเจ้าคันนี้มันไม่สมบูรณ์ก็ไม่รู้นะ )
อันนี้ผมคงต้องละไว้ ถือว่า ยังไม่ได้ทดสอบแล้วกันครับ ที่ให้คะแนน 3 / 5 ถือว่า จานเบรคคดง่ายไปหน่อยละกัน

อุปกรณ์และแผงหน้าปัด ( 4 / 5 )
มาดูชุดอุปกรณ์ในการขับขี่/ควบคุมกัน บ้าง
ก็อย่างที่เห็น เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกดีไซน์มาด้วยคอนเซ็ป “เล็ก เรียว” ทุกสิ่งอย่างดูเล็ก เรียว ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวรถ แฮนด์ ปุ่มต่างๆ
เวลาขี่ต้องทำตัวเล็กๆ หมอบๆ หนีบๆ เพื่อให้เข้ารูป กระชับกับตัวรถ
ปุ่มต่างๆ ใช้งานได้สะดวกดี ยกเว้นแตร กดยากเหมือนกัน ฉุกเฉินไม่รู้จะกดติดไหม ( มันต้องกดด้าในปุ่มถึงจะดัง เพราะด้านนอกมันเหมือนจะเป็นจุดหมุน )
แฮนด์สปอร์ต ให้มาแบบแคบๆ เพื่อการควบคุมแบบ สปอร์ต รอบสูงไม่ค่อยสะท้าน แต่กลับมามือชาอยู่ 2 วัน ไม่รู้เพราะอะไร ขี่คันอื่นไม่เป็นนะ แต่สะท้านน้อยกว่า CBR150 แน่ๆ เท่าที่เคยขี่มา

 

 

มาดูเรือนไมล์กันบ้าง
ออกแบบมาให้สปอร์ต ได้ฟีลเข็มวัดรอบกวาด เร้าใจดีแท้
ภายในหน้าจอดิจิตอลประกอบด้วย เกจวัดน้ำมัน  ความเร็ว ( ตัใหญ่อ่านง่ายใช้ได้ )  เลขไมล์รถ  และ ไฟบอกระดับการตั้ง shift light  ( ต่ำ กลาง สูง )
ไอ้ไฟกลมๆ ด้านบนมันคือ shift light ช่วยเตือนการเปลี่ยนเกียร์ โดยที่ไม่ ต้องก้มลงมองหน้าปัด สามารถตั้งได้ ด้วยปุ่ม Mode ด้านขวา
โดย Shift light สามารถตั้งได้ 3 แบบคือ
– low   จะเตือนที่ 4,500 รอบ / นาที  ( ถ้าจำผิดขออภัย เพราะผมแทบไม่ได้ใช้เลย )
– high  จะเตือนที่ 8,500 รอบ / นาที   และติดค้างอยู่อย่างนั้น ( โหมดนี้เหมาะกับใช้ในเมือง แต่ถ้าวิ่งทางไกล มันจะเตือนตลอด เพราะรอบเกิน 8,500 รอบตลอด )
– ไม่โชว์   ( สุดท้ายผมใช้ Mode นี้ ) เพราะว่า สุดท้าย ผมว่าเปลี่ยนเกียร์ที่ประมาณ 9,500 รอบ มัน OK กว่า ( เพราะกว่าแรงจะมา ก็ปาเข้าไป 8,000 แล้ว )
อ้อ ไฟบอกเกียร์ก็มีนะครับ แต่บอกเฉพาะเกียร์ 6 นะ ที่เห็นคำว่า TOP ที่อยู่ในวัดรอบนั่นหล่ะ

 

 

มาดูเบาะ
ดีไซน์ออกมาตามสไตล์ “เล็ก เรียว” และเพิ่ม “ลาด” เข้าไปให้ด้วย เพื่อบังคับ ท่านั่งก้มสปอร์ตล่ะมั๊ง 5555
ความสบายหาไม่ได้จากเบาะใบนี้ ยกเว้นคนซ้อน อย่างน้อยก็ยังกว้างกว่า Exciter 150 ( คนซ้อนของผมบอกว่า ไม่มีอะไรแย่กว่า Exciter อีกแล้ว 5555 )

 

 

มาดูความลาดของเบาะ ถ้านั่งหลังตรงๆ หน่อย เวลาเบรคจะลื่นพรีด ไปเทอยู่ด้านหน้า
ต้องปรับมาขี่โหมดสปอร์ต ค้อมตัวหมอบหน่อยๆ ทั้งคนขี่คน ซ้อน จากนั้นแหล่ะ ถึงไหนถึงกัน !!!

 

 

ถังน้ำมัน
ใหญ่มาก ( ประชด!!!! )
ลดลงจากตัวเดิม 4.9 ลิตร เหลือ 4.2 ลิตรแย่แย่
ประกอบกับการซดน้ำมันอันดุเดือดเลือดพร่าน
เกิน 100 กิโลเมตรแล้ว จะร้อนๆ หนาวๆ เพราะเข็มน้ำมันตกอยู่ก้นแล้ว
max ที่สุดได้แค่ 120 กม โดยเฉลี่ย ในขณะที่รถคันอื่นพอจะวิ่งได้ถึง 150 กม
แถมด้วยสติ๊กเกอร์ขู่ไม่ให้ใช้ แก๊สโซฮอล์ แต่ผมก็ฝ่าฝืน เพราะผมหาเบนซินเติมไม่ได้จริงๆ

 

 

สรุป
ทั้งหมดทั้งมวลผมให้ 4 เต็ม 5 เพราะว่าผมชอบวัดรอบเข็ม
บทสรุปโดยรวม ( 3.5 / 5 )
สรุปสั้นๆ เลยนะครับ รถเหมาะกับคนที่ชอบความสปอร์ต ช่วงล่าง แน่นๆ หนึบหนับหน่อย ขี่ดี ลากรอบมันส์ ไม่แคร์น้ำมัน ไม่แคร์ความสบาย เสียงเครื่องยนต์และท่อเพิ่มความเร้าใจไม่ต้องหาหาท่อแต่งให้เปลืองกะตังค์ ( หรือเปล่า ) ใครสายนี้จัดได้เลยครับ
ส่วนสำหรับสายออกทริปผม อย่างที่เจ้า Raider 150 เป็นอยู่มันก็ OK แล้วนะ ถ้าเปลี่ยนระบบจ่ายน้ำมันเป็นหัวฉีดนี่คงจะแจ่มเลยหล่ะ ถ้าน้ำมันถังนึงจะวิ่งได้ซัก 150 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย เสียงท่อทุ้มๆ นุ่มๆ ตามสไตล์รถสมัยใหม่หน่อย
อย่างว่าละครับ สิ่งต่างๆ มีดี มีเสีย แล้วแต่เราจะเลือกมองด้านไหน นิยมชมชอบตรงจุดไหนแค่นั้น
ถ้าพูดเอาแต่เรื่องอารมณ์ ไม่นับเหตุผล “ดีกว่าไม่มีหรอก มีแต่โดนหรือเปล่า” แค่นั้น หัวเราะหัวเราะ

======================================================================

เอ้า เขียนมาก็ยาวแล้ว เดี๋ยวจะอ่านกันเบื่อเสียก่อน
ผมก็ขอลากันแค่นี้ก่อนครับ
หวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์บ้างนะ ครับ ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าในเรื่องข้อมูลการเดินทาง หรือ ข้อมูลรถครับ
อย่างน้อย ถ้ามันมีโอกาสได้เป็นข้อมูล เพื่อใช้ในการตัดสินใจหรือแม้แต่อ่าน เพื่อความเพลิดเพลิน แม้เพียงแค่ 1 คน
แค่นั้นก็ถือว่า ผมบรรลุแล้ว ที่นำสิ่งที่พบ สิ่งที่เจอ สิ่งที่ได้ ไปขี่ มาเขียนเป็นบทความนี้ ยิ้มยิ้ม
หรือถึงแม้จะไม่มีคนอ่าน อย่างน้อย มันก็คือ Diary ความทรงจำของผม
ที่ยังสามารถกลับมาอ่าน และ นั่งอมยิ้มอยู่ คนเดียวได้ครับ ^^
ขอบคุณที่ติดตามครับ

 

 

ต้นฉบับจาก : https://pantip.com/topic/34122171

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RAIDER 150 :  WWW.THAISUZUKI.CO.TH


ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
0
Scroll Up